GreedisGoods » Business » กลยุทธ์ Differentiation คืออะไร? แตกต่างอย่างไรได้บ้าง

กลยุทธ์ Differentiation คืออะไร? แตกต่างอย่างไรได้บ้าง

by Kris Piroj
กลยุทธ์ Differentiation คือ กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง กลยุทธ์ Difference

กลยุทธ์ Differentiation คือ กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง เป็นหนึ่งในกลยุทธ์จาก Porter Generic Strategies ของ Micheal E. Porter จาก Harvard Business School โดยกลยุทธ์ Differentiation จะเน้นการสร้างความแตกต่างให้สินค้าหรือบริการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากการที่สินค้าหรือบริการมีความแตกต่างไม่เหมือนใคร

ประโยชน์ของ กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง หรือ Differentiation Strategy คือ การมีคู่แข่งที่น้อยโดยเฉพาะกับสินค้าใหม่ที่ยังไม่มีใครเหมือน และการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ที่ทำให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาที่สูงกว่าสินค้าอื่นที่คล้ายกันได้ (เพราะไม่มีสินค้าอื่นที่สามารถทดแทนได้) ส่งผลให้สินค้ามีกำไรต่อหน่วยที่สูง

นอกจากนี้ ด้วยความที่สินค้ามีราคาสูงจากมูลค่าเพิ่มได้จากความแตกต่าง ทำให้อีกหนึ่งข้อดีของสินค้าหรือบริการที่ใช้ กลยุทธ์ Differentiation มักจะไม่ต้องกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตและสามารถใส่ใจเรื่องคุณภาพสูงสุดได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากได้ต้นทุนต่อหน่วยที่สูงมาทดแทน

นอกจากนี้ กลยุทธ์ Differentiation หรือ กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะขายสินค้าให้กับ Mass Market หรือ Niche Market อย่างใดอย่างหนึ่งแต่จะขึ้นอยู่กับสินค้านั้น และในบางกรณีอาจจะขายให้กับทั้ง 2 กลุ่ม โดยในระยะแรกขายให้กับลูกค้าเฉพาะทางก่อน เมื่อสินค้าเริ่มเก่าหรือไม่ได้รับความนิยมจึงเริ่มขายให้กับ Mass Market

วิธีสร้างความแตกต่าง (Differentiation)

วิธีสร้างความแตกต่าง ในกลยุทธ์ Differentiation Strategy ไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวว่าทำอย่างไรได้บ้าง เพราะนี่คือ “การสร้างความแตกต่าง” ตามความหมาย Differentiation Strategy

แต่สำหรับใครที่กำลังหาไอเดียเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับสินค้าด้วยการใช้ กลยุทธ์ Differentiation เพื่อสร้างความแตกต่าง เราสามารถแบ่งลักษณะของความแตกต่างออกเป็น 4 หมวดหมู่ง่ายๆ ดังนี้

  1. การสร้างนวัตกรรม (Innovation)
  2. สินค้าทนทานกว่า (Durable)
  3. สินค้าที่คุณภาพสูงกว่าสินค้าที่มีในท้องตลาด (High Quality)
  4. สินค้าที่มีภาพลักษณ์ที่ดี (Image)

นวัตกรรม (Innovation)

นวัตกรรม (Innovation) คือ พื้นฐานที่สุดของกลยุทธ์ Differentiation เพื่อการสร้างความแตกต่าง เป็นการทำสิ่งที่ยังไม่มีใครทำและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค โดยโจทย์ของนวัตกรรม (Innovation) คือการแก้ไขปัญหาบางอย่างให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังไม่เคยถูกแก้ไขมาก่อน

โดยนวัตกรรมอาจเป็นการแก้ไขปัญหาง่ายๆ อย่างเช่น ปัญหาการจดโน๊ตที่เป็นที่มาของกระดาษโพสอิทที่เป็นเพียงกระดาษสีที่มีกาวสำหรับจดโน๊ตแล้วแปะกับอะไรก็ได้

สินค้าทนทานกว่า (Durable)

สินค้าทนทานกว่า (Durable) ในที่นี้อาจเป็นสินค้าที่ใช้หมดช้ากว่าหรือใช้ได้ทนทานกว่าสินค้าแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาดอยู่แล้วก็ได้

ตัวอย่างเช่น ปากกาลบคำผิดที่สามารถใช้ได้นานกว่า สบู่ก้อนที่ใช้ได้นานกว่า และรองเท้าส้นสูงที่ส้นไม่หักง่าย เป็นต้น

คุณภาพสูงกว่า (High Quality)

การผลิตสินค้าคุณภาพสูงกว่า (High Quality) เมื่อเทียบกับสินค้าชนิดเดียวกันที่มีอยู่แล้วในตลาด ก็นับว่าเป็นการสร้างความแตกต่าง ซึ่งอาจจะตั้งราคาสินค้าเอาไว้แพงกว่าเล็กน้อยเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในอีกระดับหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น แผ่นฟิล์มถนอมอาหารแบบพิเศษที่ใช้พลาสติกที่ปลอดภัยต่อมะเร็งมากกว่า แต่แพงกว่าฟิล์มถนอมอาหารยี่ห้ออื่นที่ไม่ได้รับประกัน 10-20 บาท

ภาพลักษณ์ที่ดี (Image)

ภาพลักษณ์ที่ดี (Image) คือ การสร้างความแตกต่างโดยการเน้นขายภาพลักษณ์สินค้าที่ดูดีกว่าสินค้าเดียวกันของแบรนด์อื่น โดยส่วนมากจะเป็นสินค้า Luxury ที่ลูกค้าใช้เพื่อแสดงถึงรสนิยมหรือสถานะทางสังคมของผู้ใช้

ตัวอย่างเช่น รถหรู รถสปอร์ต นาฬิกาแบรนด์เนม สูทสั่งตัดแบรนด์ดัง และรองเท้าราคาแพง เป็นต้น

Differentiation คือ กลยุทธ์ สร้างความแตกต่าง

เมื่อพูดถึง กลยุทธ์ Differentiation ตัวอย่างที่มีครบทุกความแตกต่างที่เราอธิบายเอาไว้ในบทความนี้คือ Supercar ที่เป็นสินค้าที่นอกจากจะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว ลูกค้ายังสามารถเลือก Custom ให้มีความแตกต่างเพิ่มเติมได้ตั้งแต่สี ล้อแม็กซ์ พวงมาลัย วัสดุที่ใช้ทำคอนโซล สีภายในรถ สีเบาะ ไปจนถึงสีของด้ายที่ใช้ในการตกแต่งภายใน

บทความที่คุณอาจสนใจ

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด