GreedisGoods » Marketing » ตลาดบน คืออะไร? High End Market ในทางการตลาด

ตลาดบน คืออะไร? High End Market ในทางการตลาด

by Kris Piroj
ตลาดบน คือ High End Market ตลาดล่าง

ตลาดบน คืออะไร?

High End Market หรือ ตลาดบน คือ การแบ่งส่วนทางการตลาด (Segmentation) ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามกำลังซื้อของลูกค้า โดยตลาดบนเป็นลูกค้ากลุ่มบนที่มีกำลังซื้อสูง ส่วนรายได้มากเท่าไหร่จะนับว่าเป็นกลุ่มที่กำลังซื้อสูงขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์นั้นว่าจะตั้งไว้ว่ารายได้เท่าไหร่จึงจะถือว่าเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง

เนื่องจากในสินค้าแต่ละประเภทมีราคาและความต้องการใช้ที่ต่างกัน สมมติว่า A มีรายได้ 80,000 บาทต่อเดือน สำหรับสินค้าหนึ่ง A อาจอยู่ในกลุ่มตลาดบน (High-end) แต่กับอีกสินค้าหนึ่งรายได้ของ A อาจอยู่ในกลุ่ม ตลาดล่าง (Low-end) ก็ได้

กล่าวคือ เมื่อสินค้าแต่ละชนิดแต่ละประเภทมีราคาที่ไม่เท่ากัน ความต้องการซื้อของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าในแต่ละระดับราคาหนึ่งจึงแตกต่างกันเมื่อเทียบจากระดับความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคได้รับจากสินค้านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดแบบ High-End Market ก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนน้อยในตลาดเมื่อเทียบกับกับกลุ่มลูกค้ารายได้ต่ำหรือที่บางคนเรียกกันว่า ตลาดล่าง (Low-End Market)

ตลาดบน คือ การแบ่งกลุ่มตลาด ตลาดล่าง

ตลาดบน จึงเปรียบเสมือนยอดของพีระมิดที่ยิ่งสูงจะยิ่งแคบลบ เช่นเดียวกันกับจำนวนของประชากรที่อยู่ในกลุ่มตลาดบนที่มีอยู่ไม่มาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติในทุกสังคม ที่จะแตกต่างในส่วนฐานของพีระมิดว่ากว้าง (คนรายได้ต่ำมีอยู่มาก) หรือแคบ (คนรายได้ต่ำมีอยู่น้อย)

ทั้งนี้ ตลาดบน (High-End Market) ยังสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่เล็กลงได้อีก ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มบน-บน กลุ่มบน-กลาง และ กลุ่ม-บนล่าง ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นอีก เนื่องจาก ทำให้นักการตลาดสามารถตอบสนองพฤติกรรมของลูกค้าได้ตรงมากยิ่งขึ้น เพราะลูกค้าในกลุ่มตลาดบนนั้นค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายตามกำลังซื้อที่มาก

ตัวอย่างเช่น ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเศรษฐีใหม่ (New Money) กับกลุ่มเศรษฐีที่รวยตั้งแต่เกิด (Old Money) ที่ส่วนใหญ่ที่จะมีวิธีใช้เงินและรสนิยมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

การสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value-Added) กับตลาดบน

จากการที่ลูกค้าในกลุ่มตลาดบน (High-End Market) มีอยู่น้อย การหากำไรจากลูกค้าในกลุ่มตลาดบนจึงไม่สามารถทำได้ด้วยการขายในปริมาณมากเพื่อใช้ข้อได้เปรียบในเรื่องต้นทุนจากกลยุทธ์ Cost Leadership ได้โดยตรงเหมือนกับลูกค้าในกลุ่มตลาดล่าง (Low-End Market)

แต่ในทางกลับกันกลุ่มลูกค้าตลาดบนแต่ละคนมีกำลังซื้อที่สูงกว่าอย่างมาก เมื่อเทียบกับลูกค้าในระดับรายได้ต่ำกว่า

ทางออกของการทำไรจากลูกค้าที่มีอยู่น้อยจึงออกมาในรูปแบบของ “การทำให้กำไรต่อหน่วยสูงขึ้น” แทนการขายให้ได้จำนวนมาก ๆ หรือที่เรียกกันในลักษณะที่ว่า เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ

ซึ่งการทำให้สินค้าแบบเดียวกันมีราคาที่สูงกว่า ผู้ขายจำเป็นที่จะต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า (Value Added) เพื่อที่จะสามารถขายสินค้าในราคาแพงที่แพงกว่าได้ ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่:

สร้างความแตกต่าง (Differentiation) เป็นสินค้าประเภทเดียวกัน แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนใคร เป็นสินค้าทดแทนที่ทำได้ดีกว่า รวมทั้งการเป็นสินค้าที่ใช้แล้วไม่เหมือนใคร อย่างเช่น สินค้า Brand Name ที่กระเป๋าแบบเดียวกันใส่สิ่งของได้เหมือนกัน แต่มีการวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ที่แตกต่างออกไป ทำให้สามารถขายได้ในราคาสูง

คุณภาพสูง (High Quality) ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายมากขึ้นเพื่อใช้สินค้าที่มีคุณภาพดีขึ้นกว่าสินค้าแบบเดียวกันในตลาด อย่างเช่น ทนทานกว่า ทำได้ดีกว่า และเร็วกว่า เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด