หุ้น คืออะไร?
หุ้น คือ ตราสารทางการเงินที่ให้สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัทแก่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นผู้ที่นำเงินมาลงทุนในกิจการ เรียกว่า ตราสารทุน โดยหุ้น (Stock) คือ สิ่งที่มีหน้าที่เป็นหน่วยแสดงความเป็นเจ้าของบริษัท หรือผู้ให้ง่ายกว่านั้นคือ ถ้ามีหุ้นจำนวนมากกว่าก็จะมีความเป็นเจ้าของมากกว่า
หลักการพื้นฐานของ หุ้น คือ ลงเงินเปิดกิจการของคนหลายคน (การหุ้นเงิน) เพื่อนำเงินไปใช้ในการดำเนินกิจการ และเมื่อบริษัทมีกำไรนักลงทุน (ผู้ซื้อหุ้น) ก็จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามสัดส่วนของเงินที่ลงทุนซื้อหุ้น (โดยผลตอบแทนของหุ้นนี้เรียกว่า เงินปันผล)
เพื่อให้เห็นภาพการทำงานของ หุ้น ว่าทำงานอย่างไร สมมติว่านาย A ต้องการเปิดกิจการที่ต้องใช้เงิน 20 ล้านบาท แต่โชคไม่ดีที่นาย A มีเงินแค่ 10 ล้านบาท เพื่อที่จะมีเงิน 20 ล้านบาท A จึงต้องชวนเพื่อนอีก 3 คนมาหุ้นกันเปิดกิจการ
โดยแต่ละคนลงทุนด้วยเงินดังนี้ (และกำหนดให้ 1 หุ้น = 5 บาท)
- A ลงทุน 10 ล้านบาท (เป็นเจ้าของ 50%) หรือมีหุ้น 2 ล้านหุ้น
- B ลงทุน 6 ล้านบาท (เป็นเจ้าของ 30%) หรือมีหุ้น 1 ล้าน 2 แสนหุ้น
- C ลงทุน 2 ล้านบาท (เป็นเจ้าของ 10%) หรือมีหุ้น 4 แสนหุ้น
- D ลงทุน 2 ล้านบาท (เป็นเจ้าของ 10%) หรือมีหุ้น 4 แสนหุ้น
จากกรณีตัวอย่างด้านบน จำนวนหุ้น คือ การแบ่งหน่วยลงทุนเป็นหน่วยย่อยที่มีค่าเท่า ๆ กัน จากตัวอย่าง 1 หุ้นราคา 5 บาท จะเห็นว่าทุกคนในตัวอย่างคือเจ้าของบริษัท และ A คือคนที่มีความเป็นเจ้าของสูงสุด (มีหุ้นมากที่สุด หรือ ลงเงินมากที่สุด) ซึ่งสิทธิ์ในการออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นก็จะมากตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ โดยเราจะเรียกทั้ง 4 คนนี้ว่า “ผู้ถือหุ้น”
เช่นเดียวกับผลตอบแทนเมื่อบริษัทมีกำไร ผู้ที่ลงทุนมากกว่าก็จะได้ส่วนแบ่งผลตอบแทนมากกว่า โดยผลตอบแทนดังกล่าวจะคำนวณตามจำนวนหุ้น เช่น แบ่งผลตอบแทนให้ 1 บาทต่อหุ้น (ผลตอบแทนนี้ เรียกว่า เงินปันผล)
หุ้น (Stock) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ หุ้นสามัญ (Common Stock) และ หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) โดยหุ้นทั้ง 2 ประเภทจะเป็นตราสารที่ให้สิทธิในการเป็นเจ้าของกิจการเหมือนกัน แต่ต่างกันในเรื่องของสิทธิของผู้ถือหุ้นเท่านั้น (แต่เราจะยังไม่อธิบายให้งงในบทความนี้) สำหรับหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ใน ตลาดหุ้น คือ หุ้นสามัญ (Common Stock)
นอกจากนี้ ถ้าหากถือหุ้นสามัญ (Common Stock) เกินครึ่งหนึ่ง (มากกว่า 50%) ของหุ้นทั้งหมดของกิจการนั้น ก็จะมีสิทธิ์ตั้งฝ่ายจัดการของบริษัทได้
ผลตอบแทนของหุ้น
การลงทุนในหุ้น จะให้ผลตอบแทนที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบหลัก คือ เงินปันผล (Dividend) และ กำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain)
เงินปันผล (Dividend) คือ ส่วนแบ่งกำไรของบริษัท เมื่อบริษัทมีผลประกอบการที่ดี บริษัทก็จะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น (ไม่นับบริษัทที่หยุดจ่ายปันผล)
จากตัวอย่างเดิม ถ้าหากบริษัทมีกำไร 10 ล้านบาท และมีนโยบายจ่ายเงินปันผล 100% ของกำไรทั้งหมด (ได้กำไรเท่าไหร่ จ่ายเงินปันผลเท่านั้น) โดยจ่ายเงินปันผล 1 บาทต่อหุ้น แต่ละคนจะได้เงินปันผลดังนี้
- A จะได้ เงินปันผล 2 ล้านบาท
- B จะได้ เงินปันผล 1.2 ล้านบาท
- C จะได้ เงินปันผล 4 แสนบาท
- D จะได้ เงินปันผล 4 แสนบาท
กำไรจากการซื้อขายหุ้น (Capital Gain) คือ กำไรจากส่วนต่างที่เกิดขึ้นจากการซื้อหุ้นถูกแล้วขายแพง
นอกจากนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น อาจพบได้ในรูปแบบของผลตอบแทนอื่นๆ อย่างเช่น สิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่ (Rights Offering) และการรับปันผลเป็นหุ้น เป็นต้น
ตลาดหุ้น คืออะไร?
ตลาดหุ้น คือ ที่สำหรับการซื้อขายหุ้น โดยจะแบ่งเป็นตลาดแรก (Primary Market) และตลาดรอง (Secondary Market) ซึ่งรายละเอียดคร่าว ๆ ที่มือใหม่รู้หรือไม่รู้ก็ได้มีดังนี้
- ตลาดแรก (Primary Market) คือ การซื้อขายหุ้นเมื่อครั้งที่บริษัทออกหุ้นครั้งแรก
- ตลาดรอง (Secondary Market) คือ การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นอย่างที่เห็นตามข่าวและในแบบที่คุณกำลังสนใจ เป็นการซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดแรก
ในปัจจุบันการซื้อหุ้นและการขายหุ้นส่วนใหญ่จะทำผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านระบบของทางโบรคเกอร์ (นายหน้าค้าหุ้น) อยู่แล้ว อย่างในไทยจะซื้อขายผ่านโปรแกรม Streaming Pro (หรือ การโทรไปส่งคำสั่งซื้อกับโบรคเกอร์หุ้นของเรา) ซึ่งตรงนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็น เว็บเล่นหุ้น
แต่ก่อนที่จะสามารถซื้อขายหุ้นได้นั้น อันดับแรกต้องเริ่มจากต้องมีบัญชีหุ้นหรือที่เรียกว่า พอร์ตหุ้น ซึ่งการที่จะมีพอร์ตหุ้นได้ก็จะต้องเปิดพอร์ตหุ้นกับนายหน้าซื้อขายหุ้นหรือโบรคเกอร์ก่อน