เงินเย็น คืออะไร?
เงินเย็น คือ เงินในส่วนที่นักลงทุนไม่ได้จำเป็นต้องนำไปใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นใด ๆ แม้แต่การนำไปใช้กับเรื่องฉุกเฉิน ส่งผลให้เงินเย็นดังกล่าวนับได้ว่าเป็นเงินในประเภทที่เมื่อเสียไปก็ไม่ได้ทำให้เดือดร้อน (นอกจากร้อนใจ)
ในอีกความหมายหนึ่ง เงินเย็น อาจเป็นเงินในส่วนที่เหลือจากการวางแผนการเงินของแต่ละคน ซึ่งเป็นเงินออมเพื่อการลงทุน
กล่าวคือ การสร้างเงินเย็น สามารถทำได้โดยการเก็บเงินจากส่วนที่เหลือ หรือส่วนที่สามารถลดได้จากสิ่งที่ไม่จำเป็น
โดยทั่วไปคำแนะนำการลงทุนสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุนในการลงทุนรูปแบบต่าง ๆ มักจะให้คำแนะนำในลักษณะที่ว่า “ควรใช้เงินเย็นมาลงทุนเท่านั้น” หรือ “อย่าลงทุนด้วยเงินที่เงินที่เสียไม่ได้” ซึ่งเป็นเพราะนักลงทุนไม่สามารถรู้ได้ว่ากว่าจะได้ผลตอบแทนในระดับที่คาดหวังจะต้องใช้เวลามาเท่าไหร่ หรือต้องขาดทุนนานแค่ไหน จึงเป็นผลดีกว่าหากไม่ใช้เงินที่จำเป็นต้องใช้มาลงทุน
แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนด้วยเงินเย็นนั้นก็ไม่ได้จำกัดว่าเป็นเรื่องของการลงทุนของบุคคลทั่วไปเท่านั้น ในกรณีของธุรกิจการการสามารถใช้ข้อดีของการลงทุนด้วยเงินเย็นได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากการที่เงินเย็นไม่ใช่เงินที่หายไปแล้วจะทำให้เดือดร้อน ทำให้เงินเย็นเหมาะกับการใช้ลองผิดลองถูกหรือทดลองอะไรใหม่ ๆ ที่ธุรกิจคาดว่าจะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีได้อย่างเต็มที่
ทำไมต้องลงทุนด้วยเงินเย็น
เหตุผลในภาพรวมในการที่ควรลงทุนด้วยเงินเย็น คือ การที่โดยพื้นฐานเงินเย็นมีลักษณะที่ไม่ได้จำเป็นจะต้องนำไปใช้กับอะไรเป็นพิเศษ แม้แต่กับเรื่องฉุกเฉินตามที่อธิบายในตอนต้น ทำให้การใช้เงินเย็นลงทุนจะได้รับประโยชน์จากข้อได้เปรียบ ดังนี้:
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องถอนเงินจำนวนนี้ออกมาจากพอร์ตการลงทุน ที่อาจทำให้จำเป็นที่จะต้องขายขาดทุนหรือทำกำไรได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นจากการรีบถอนเงินดังกล่าวออกมาจากการลงทุนก่อนเวลาที่ควรจะเป็น
ไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดทุนมาก เพราะเป็นเงินที่หายไปก็ไม่ได้ทำให้เดือดร้อนถึงชีวิตประจำวันของนักลงทุนแต่อย่างใด (เว้นแต่ผลทางใจ)
จากข้อได้เปรียบทั้ง 2 ข้อในข้างต้นจะช่วยให้สามารถลงทุนได้อย่างเต็มที่ นักลงทุนไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังจนทำให้วางแผนการลงทุนผิดพลาดจากความร้อนใจที่เกิดจากความกังวลในเงินจำนวนดังกล่าว
เงินร้อน
ในทางกลับกันคำที่มาพร้อมกับคำว่า “เงินเย็น” คือ “เงินร้อน” ที่เป็นด้านตรงข้าม โดยคำว่าเงินร้อนคือเงินที่นำมาลงทุนทั้งที่เงินจำนวนดังกล่าวอาจจะมีเรื่องจำเป็นอื่นที่จะต้องนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ หรือมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เดือดร้อนเมื่อเสียเงินจำนวนดังกล่าวไปกับการลงทุน ตัวอย่างเช่น
เงินกู้ ถ้าหากไม่สามารถทำกำไรได้ทันกำหนดคืนเงิน ก็จำเป็นจะต้องถอนเงินลงทุนออกมาก่อนจะได้กำไร (ขายขาดทุน) หรือทำให้กำไรได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือไม่ได้กำไรในขณะที่ดอกเบี้ยก็ต้องจ่าย
เงินสำรอง ที่อาจจะต้องนำไปใช้ฉุกเฉินกับเรื่องบางอย่าง ทำให้จำเป็นต้องถอนเงินลงทุนก่อนกำหนดตามแผนที่วางไว้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา
เงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ในท้ายที่สุดเมื่อต้องใช้ก็จะต้องดึงเงินลงทุนออกมาจากพอร์ตการลงทุน ทำให้ไม่สามารถทำกำไรได้เต็มที่อย่างที่ควร