หลายคนอาจคุ้นเคยกับ 5 Force Model แต่บทความนี้มาดูกันว่า 6 Force Model หรือ 6 Force คืออะไร? ต่างจาก Five Force Model ที่ทุกคนรู้จักอย่างไรบ้าง
Six Forces Model คือ แนวคิดที่ต่อยอดมาจาก Five Forces Model ของ Michael E. Porter โดย Force ตัวที่ 6 ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Complementary Products หรือ Complementary Goods หมายถึง สินค้าที่ใช้ร่วมกันเมื่อต้องใช้สินค้าของเรา
แรงกดดันทั้ง 6 ของ Six Forces Model ประกอบด้วย:
- Industry rivalry คือ การแข่งขันกันภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- Bargaining Power of Suppliers คือ อำนาจต่อรองของ Supplier
- Bargaining Power of Customers คือ อำนาจต่อรองของลูกค้า
- Threat of Substitute Products or Services คือ ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
- Threat of New Entrance คือ ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่
- Complementary Products หรือ Complementary Goods คือ สินค้าที่ใช้ร่วมกัน
สำหรับวิธีการในการวิเคราะห์ Six Forces Model ก็จะไม่แตกต่างจาก การวิเคราะห์ 5 Force ที่ผลของการวิเคราะห์จะออกมาใน 3 รูปแบบ คือ ส่งผลต่ำ ส่งผลปานกลาง และ ส่งผลมาก ซึ่งผลที่ดีที่สุดที่ได้จากการวิเคราะห์ คือ ส่งผลต่ำ
โดยประโยชน์ของการวิเคราะห์ Six Forces Model คือ ทำให้รู้ว่าเมื่อเข้าสู่ตลาดนั้น บริษัทจะมีภัยคุกคามจากปัจจัยภายนอกจากอะไรบ้าง รวมทั้งทำให้รู้ว่าควรที่จะเข้าไปในตลาดนั้นหรือไม่
Complementary Products หรือ Complementary Goods
Complementary Products หรือ Complementary Goods คือ สินค้าที่ใช้ร่วมกัน หมายถึง สินค้าชนิดหนึ่งจะใช้ได้ มีความจำเป็นมากแค่ไหนที่ต้องใช้ร่วมกับสินค้าอีกชนิดหนึ่ง
อธิบายให้ง่ายกว่านั้น ตัวอย่างของสินค้าที่ใช้ร่วมกัน (Complementary Products) เช่น บริษัท A ขายรถยนต์ (ที่ใช้น้ำมัน) Complementary Products อันดับแรกของรถยนต์คือน้ำมันที่ต้องเติมอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น แรงจาก Complementary Products จากน้ำมันที่บริษัท A จะได้รับถือว่าอยู่ในระดับที่สูง เพราะรถขาดน้ำมันไม่ได้
ถ้าหากว่าน้ำมันขึ้นราคามาก ๆ สมมติว่าเพิ่มขึ้นไปเป็นลิตรละ 100 บาท แน่นอนว่ายอดขายรถยนต์ของบริษัท A จะลดลงอย่างแน่นอน และถ้าหากว่าน้ำมันในไทยลดราคาลงไปเหลือลิตรละ 10 บาท แน่นอนว่ายอดขายรถยนต์ของบริษัท A ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ถ้าสินค้าของเราไม่จำเป็นต้องใช้ร่วมกับสินค้าอื่น แรงจาก Complementary Products ต่อบริษัทของเราจะอยู่ในระดับต่ำ
แต่ถ้าหากว่าสินค้าของเราจำเป็นต้องใช้สินค้าบางอย่างร่วมอย่างมาก ในระดับที่ถ้าไม่ใช้ร่วมก็ใช้ไม่ได้ นั่นหมายความว่า แรงจาก Complementary Products ต่อบริษัทของเราจะอยู่ในระดับสูง