Carry Trade คืออะไร?
Carry Trade คือ การลงทุนโดยการกู้เงินจากสกุลเงินของประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า แล้วเคลื่อนย้ายเงินจำนวนที่กู้มาไปลงทุนในอีกประเทศที่ให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้มีโอกาสทำกำไรมากขึ้นจากผลตอบแทนของตลาดที่สูงกว่า และได้เปรียบในด้านต้นทุนทางการเงินจากดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าของเงินกู้ อีกทั้งยังมีโอกาสทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
กล่าวคือ Carry Trade เป็นการลงทุนที่ใช้โอกาสจากต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าไปลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนง่ายกว่า รวมถึงยังมีโอกาสทำกำไรเพิ่มเติมเป็นโบนัสจากอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อย้ายเงินลงทุนกลับ ในปัจจุบันหลักทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในการ Carry Trade ของนักลงทุนสถาบัน คือ ตราสารหนี้อย่างพันธบัตร และหุ้นในตลาดหุ้น
ตัวอย่างเช่น กองทุน CarryUSD ทำ Carry Trade ด้วยการกู้เงินดอลลาร์จากสหรัฐอเมริกาด้วยอัตราดอกเบี้ย 2% และเคลื่อนย้ายเงินจำนวนดังกล่าวมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5%
จากตัวอย่าง แม้ว่ากองทุน CarryUSD ลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำสุดที่ให้ผลตอบแทนเท่ากับอัตราดอกเบี้ย การลงทุนด้วยวิธี Carry Trade ของกองทุนก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 3% จากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุน (5% – 2% = ส่วนต่าง 3%)
อะไรส่งผลกับ Carry Trade บ้าง
แม้ว่า Carry Trade คือการกู้เงินจากสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าแล้วไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่เหมือนจะไม่ซับซ้อนอะไร แต่จริง ๆ แล้วการ Carry Trade ยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณามากกว่าอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
เพราะการเคลื่อนย้ายเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน การแลกเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน กฎหมายการลงทุน และมูลค่าของเงินในประเทศที่เข้าไปลงทุน ทำให้ Carry Trade ในเบื้องต้นจะเกี่ยวกับ:
ความยากง่ายในการกู้เงินสกุลนั้น เพราะปัจจัยแรกของการทำ Carry Trade คือการกู้เงินสกุลหนึ่งเพื่อลงทุนในต่างประเทศ
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน จากทั้งสกุลเงินที่จะกู้และสกุลเงินที่จะเข้าไปลงทุน เพราะความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจทำให้ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมาก หรืออาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจนไม่เหลือกำไรจากการลงทุนก็ได้
ต้นทุนในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งในที่นี้คือ Spread และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกิดจากการแลกเงินสกุลหนึ่งไปเป็นเงินอีกสกุลหนึ่ง
Real Interest Rate (อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง) คือการลบอัตราเงินเฟ้อออกจากอัตราดอกเบี้ย (เช่น ดอกเบี้ย 10% – เงินเฟ้อ 8% = ดอกเบี้ยที่แท้จริง 2%) เพราะถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่เข้าไปลงทุนจะสูงจริง แต่ถ้าหากประเทศนั้นเงินเฟ้อสูงก็อาจทำให้ ท้ายที่สุดผลตอบแทนของ 2 ประเทศไม่ได้ต่างกันมากตามทฤษฎี International Fisher Effect
โอกาสของ Carry Trade
เมื่อเข้าใจการทำงานและความเสี่ยงของ Carry Trade แล้วจะเห็นว่าการทำ Carry Trade คือการลงทุนที่มีโอกาสทำกำไรได้จาก 2 ส่วน ได้แก่
- การทำกำไรจากการลงทุนตามปกติ ซึ่งมีโอกาสกำไรได้มากกว่าตลาดของประเทศที่กู้เงินมา (จากส่วนต่างของผลตอบแทนระหว่าง 2 ประเทศ)
- กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจากการแลกเงินลงทุน
ดังนั้น ผลลัพธ์ในความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดของ Carry Trade คือการที่กู้เงินสกุล A แล้วแลกเป็นเงินสกุล B ในช่วงที่เงินสกุล B อ่อนค่าที่สุด > จากนั้นนำเงินสกุล B ไปลงทุนในประเทศ B ตามปกติ > แล้วแลกเงินสกุล B กลับมาเป็นเงินสกุล A ในช่วงที่เงินสกุล B แข็งค่าที่สุด
Carry Trade กับอัตราแลกเปลี่ยน
การที่ประเทศมีเม็ดเงินจากการ Carry Trade เข้าไปลงทุน จะทำให้ปริมาณความต้องการ (อุปสงค์ : Demand) สกุลเงินของประเทศนั้นสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต้องแลกเงิน (ที่กู้มา) เป็นเงินของประเทศที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งการ Carry Trade มักจะมีมูลค่าที่สูงในระดับพันล้านหรือหมื่นล้าน ทำให้ปริมาณความต้องการเงินเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินแข็งค่า
ในทางกลับกันการย้ายเงินกลับประเทศของนักลงทุนหลังจากนักลงทุนทำกำไรได้ตามต้องการแล้ว ก็สามารถทำให้เงินอ่อนค่าได้เช่นกัน ด้วยเหตุผลตรงข้าม คือ นักลงทุนต้องการเปลี่ยน (ขาย) เงินสกุลที่แลกมาในตอนแรกเป็นจำนวนมากกลับไปเป็นสกุลที่กู้มา (จากตัวอย่างเมื่อตอนแรกสุด คือ เปลี่ยนกลับจากเงินบาทไปเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ)