Corporate Identity คือ อัตลักษณ์ขององค์กร หรือเอกลักษณ์ขององค์กร เรียกสั้น ๆ ว่า CI เป็นสิ่งที่จะสะท้อนให้ทั้งคนภายในและภายนอกองค์กรรับรู้ถึงองค์กรด้วยลักษณะบางอย่างจาก Corporate Identity หรืออาจจะสรุปแบบง่าย ๆ ได้ว่า Corporate Identity หรือ อัตลักษณ์ขององค์กร คือ จุดเด่นขององค์กรนั่นเอง
ประโยชน์หลักของ Corporate Identity ก็คือการแสดงถึง เอกลักษณ์ขององค์กรหรืออัตลักษณ์ขององค์กรที่จะช่วยให้ลูกค้า (หรือผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้า) สามารถจดจำแบรนด์หรือจดจำองค์กรได้จากจุดเด่นดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพูดชื่อ
ซึ่งการที่ลูกค้าสามารถจดจำแบรนด์ได้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เพราะการที่ลูกค้าไม่สามารถจำเอกลักษณ์ขององค์กรได้โอกาสที่ลูกค้าจะไม่ซื้อซ้ำสูงมาก (เพราะจำไม่ได้) หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือในกรณีที่ลูกค้าเห็นโฆษณาแล้วแต่ก็ยังจำไม่ได้
Corporate Identity เกิดจากอะไร?
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจรู้แล้วว่า Corporate Identity คือ เอกลักษณ์ขององค์กร ที่แตกต่างจากองค์กรอื่นหรือแบรนด์อื่น คำถามต่อมาคือ Corporate Identity เกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง
Logo
Logo คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ทำให้ลูกค้าสามารถแยกได้ว่าสินค้าเป็นของแบรนด์อะไร โดยโลโก้ที่ดีควรจะสามารถสื่อให้ลูกค้ารู้ได้ว่าสินค้าดังกล่าวเกี่ยวกับอะไร
จะเห็นว่าการที่โลโก้ของแบรนด์บางแบรนด์มีลักษณะเด่น ลูกค้าก็จะสามารถจดจำแบรนด์นั้นได้อย่างรวดเร็วและจดจำได้ดีกว่า
Font และ สี
ในส่วนของ Font และสี ก็เช่นเดียวกับ Logo เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถจดจำแบรนด์ได้ ตัวอย่างเช่น การที่เห็น Logo ที่มีพื้นสีแดงและฟอนต์สีเหลืองจะนึกถึง McDonald หรือ Logo ที่มีพื้นสีน้ำเงินฟอนต์สีเหลืองจะนึกถึง IKEA เป็นต้น
นอกจากนี้ ทั้งฟอนต์และสีที่แตกต่างกันยังสามารถใช้สื่อความหมายตามที่แต่ละแบรนด์ต้องการสื่อได้อีกด้วย เช่น การใช้สีแดงในแบรนด์เครื่องสำอางเพื่อแสดงถึงความเซ็กซี่และความมั่นใจ หรือ การใช้
Packaging
Packaging หรือหีบห่อ (รวมไปถึงฉลาก) ในบางครั้งก็สามารถช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์หรือองค์กรได้เช่นกัน อย่างเช่น ถ้าหากว่านึกถึงคุกกี้ที่ให้กันในวันปีใหม่ก็จะนึกถึงคุกกี้ที่มี Package เป็นกล่องกลมสีแดง ซึ่งมีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ Arsenal และ Imperial
จะเห็นว่า Packaging ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับฟอนต์และสีเช่นกัน เพราะสิ่งแรกที่ลูกค้าเห็นนอกจากลักษณะของ Package ก็คือสีและฟอนต์
Functional & Emotional
นอกจากสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาที่พูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว แต่สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาก็ยังสามารถใช้เป็น Corporate Identity ได้เช่นกัน
ซึ่งสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ที่ว่าก็คือ Functional (คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์) และ Emotional (ความรู้สึกของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์) ที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ
Functional คือ เรื่องที่เกี่ยวกับคุณภาพ คุณลักษณะเฉพาะของสินค้าหรือบริการขององค์กร
เช่น โทรศัพท์ของ Nokia ถูกมองว่าทนทาน ไม่ว่ารุ่นหลังๆจะทนหรือไม่ หรือบริษัทขายไปให้ใคร มือถือที่ผลิตโดยบริษัท Nokia ก็ยังถูกมองว่าทนทานต่อไป
Emotional คือ เรื่องของอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ใช้ที่ได้รับจากการใช้สินค้าหรือบริการ รวมไปถึงการที่ลูกค้ามองว่าแบรนด์หรือองค์กรนั้นเป็นอย่างไร
เช่น การที่ Nissan ถูกมองว่าเป็นแบรนด์รถบ้าน ทำให้รถยนต์ Nissan ถึงแม้จะเป็นรุ่นที่ประสิทธิภาพสูงอย่าง GTR (ในระดับที่สู้กับ Supercar บางรุ่นได้สบาย) การที่ GTR ติด Logo Nissan ทำให้บางคนก็ยังมองว่า Nissan GTR ก็คือ Nissan อยู่ดี