GreedisGoods » Economics » Economies of Scale คืออะไร? (การประหยัดต่อขนาด)

Economies of Scale คืออะไร? (การประหยัดต่อขนาด)

by Kris Piroj
Economies of Scale คือ การประหยัดต่อขนาด EOS คือ ประหยัดต่อขนาด

Economies of Scale คืออะไร?

Economies of Scale คือ การประหยัดต่อขนาด ที่เกิดจากการผลิตสินค้าในจำนวนที่มากพอจะทำให้ได้เปรียบในด้านต้นทุนจากการที่ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง เนื่องจากเมื่อผลิตสินค้าออกมามากขึ้นก็จะยิ่งใช้ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) ได้คุ้มค่ามากขึ้น

กล่าวคือ Economies of Scale คือแนวคิดของการที่ “ยิ่งผลิตมากขึ้น จะยิ่งคุ้มค่า” เพราะการผลิตที่เกิด Economies of Scale (EOS) หรือการประหยัดต่อขนาด ที่ผลิตสินค้าออกมากมากจะช่วยหารให้ต้นทุนคงที่ในการผลิตออกมาเป็นต้นทุนคงที่ต่อหน่วยที่ลดลง

โดยการผลิตที่ได้ Economies of Scale (EOS) หรือ การประหยัดต่อขนาดสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายส่วนในกระบวนการดำเนินงานของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น

  • การประหยัดจากต้นทุนค่าขนส่ง จากการที่ผลิตจำนวนมากทำให้การขนส่งต่อครั้งคุ้มค่ามากขึ้น
  • การประหยัดจากต้นทุนทางการเงิน จากการที่กู้เงินจำนวนมากทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยลดลง
  • การใช้ต้นทุนคงที่ได้คุ้มค่าขึ้น จากการที่สามารถผลิตเต็มกำลังการผลิต ช่วยให้ต้นทุนจากการใช้เครื่องจักรแต่ละครั้งคุ้มค่ายิ่งขึ้น
  • ต้นทุนในการโฆษณาและการส่งเสริมการขายต่อหน่วยลดลง จากการที่สินค้ามากขึ้นทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของค่าโฆษณาลดลง

อย่างไรก็ตาม Economies of Scale จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยจนถึงจุดหนึ่งเท่านั้น และในทางกลับกันเมื่อผลิตจนเกินจุดหนึ่งการผลิตที่จำนวนมากขึ้นจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งเป็นด้านตรงข้ามของ Economies of Scale (การประหยัดต่อขนาด) เรียกว่า Diseconomies of Scale (การไม่ประหยัดต่อขนาด)

ตัวอย่าง Economies of Scale

สมมติว่า บริษัท B เป็นบริษัทผลิตโทรศัพท์มือถือในจีน ซึ่งการที่จะผลิตโทรศัพท์แน่นอนว่าจะต้องมีต้นทุน โดยสมมติว่าต้นทุนในการผลิตมีอยู่ 2 ส่วน คือ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คือต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อผลิตมากขึ้น และต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือต้นทุนที่ไม่ว่าจะผลิตมากหรือน้อยแค่ไหนหรือไม่ผลิตเลย ต้นทุนก็ยังเกิดขึ้นเท่าเดิม

ในที่นี้สมมติว่า ต้นทุนชิ้นส่วนของโทรศัพท์แต่ละเครื่องรวมแล้ว มีต้นทุนผันแปรเครื่องละ 2,000 บาท และสมมติว่ามีต้นทุนคงที่แค่ค่าเช่าโรงงานเดือนละ 100,000 บาท

การผลิตสินค้าจำนวนมากทำให้เกิด Economies of Scale (EOS) ได้จากเหตุการณ์ในลักษณะ ดังนี้:

กรณีที่ 1

จากเงื่อนไขของตัวอย่าง ถ้าหากบริษัท B ผลิตโทรศัพท์ 100,000 เครื่อง บริษัท B จะมีต้นทุน ได้แก่ ค่าเช่าโรงงาน 100,000 บาท ที่ผลิตกี่เครื่องก็มีต้นทุนเท่าเดิม และต้นทุนชิ้นส่วนโทรศัพท์ 2,000 บาท x 100,000 เครื่อง = 200,000,000 บาท

รวมต้นทุนที่บริษัท B ใช้ผลิตโทรศัพท์ 100,000 เครื่อง คือ 200,000,000 + 100,000 = 200,100,000 บาท

ต้นทุนเฉลี่ยต่อการผลิตโทรศัพท์ต่อเครื่องทั้งหมดในที่นี้ คือ 200,100,000 ÷ 100,000 เครื่อง = 2,001 บาท

กรณีที่ 2

จากเงื่อนไขของตัวอย่าง ถ้าหากบริษัท B ผลิตโทรศัพท์ 200,000 เครื่อง บริษัท B จะมีต้นทุน ได้แก่ ค่าเช่าโรงงาน 100,000 บาท ที่ผลิตกี่เครื่องก็มีต้นทุนเท่าเดิม และต้นทุนชิ้นส่วนโทรศัพท์ 2,000 บาท x 200,000 เครื่อง = 400,000,000 บาท

รวมต้นทุนที่บริษัท B ใช้ผลิตโทรศัพท์ 100,000 เครื่อง คือ 400,000,000 + 100,000 = 400,100,000 บาท

ต้นทุนเฉลี่ยของโทรศัพท์ทั้งหมด คือ 400,100,000 ÷ 100,000 เครื่อง = 2,000.5 บาท

จะเห็นว่ายิ่งผลิตโทรศัพท์มากขึ้นเท่าต้นทุนเฉลี่ยของโทรศัพท์จะลดลง จากตัวอย่างเมื่อผลิต 200,000 เครื่องต้นทุนต่อเครื่องจะลดลงเหลือ 2,000.5 บาท จากตัวอย่างทั้งหมดคือภาพรวมของ Economics of Scale

โดยลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนต่อหน่วยและจำนวนการผลิตของ Economies of Scale สามารถเขียนเป็นกราฟได้ในลักษณะตามกราฟ Economies of Scale

กราฟ Economies of Scale คือ EOC กราฟ การประหยัดต่อขนาด
กราฟ Economies of Scale (EOS)

โดยที่แกนตั้ง คือ ต้นทุนในการผลิต ส่วนแกนนอน คือ จำนวนสินค้าที่ผลิตออกมา

  • Q1 คือจำนวนที่ผลิตเดิม
  • C2 คือต้นทุนการผลิตเดิม
  • Q2 คือจำนวนที่ผลิตที่เพิ่มขึ้น
  • C1 คือต้นทุนการผลิตหลังเพิ่มจำนวนสินค้าที่ผลิต จะเห็นว่ามีต้นทุนที่ลดลง

จะเห็นว่าเมื่อเพิ่มจำนวนการผลิตจาก Q1 ไปที่ Q2 (จาก 100,000 ไปที่ 200,000 ชิ้น) จะทำให้ต้นทุนลดลงจาก C2 เป็น C1 (จาก 2,001 บาท เหลือ 2,000.5 บาท) โดยเส้นโค้งดังกล่าวเรียกว่า เส้น EOS หรือ เส้น Economies of Scale ที่แสดงการประหยัดต่อขนาด

บทความที่คุณอาจสนใจ

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด