GreedisGoods » Business » KPI คืออะไร? วิธีการตั้งและตัวอย่าง KPI ที่ดี

KPI คืออะไร? วิธีการตั้งและตัวอย่าง KPI ที่ดี

by Kris Piroj
KPI คือ ดัชนี Key Performance Indicator คือ ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพที่สำคัญ ประเมินผล KPI

KPI คืออะไร?

KPI คือ Key Performance Indicator หรือดัชนีที่ใช้เป็นเครื่องมือบ่งบอกประสิทธิภาพการดำเนินงาน สำหรับการประเมินว่าผลของการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ โดยการตั้ง KPI จะถูกตั้งเป็นตัวเลขเพื่อให้เห็นชัดเจนว่าผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์หรือไม่

ประโยชน์ของ KPI หรือ Key Performance Indicator คือการใช้เป็นเครื่องมือและเป้าในการวัดผลการดำเนินงานของตัวพนักงาน และใช้ KPI ในการวัดผลของเป้าหมาย (Goal) ที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้เห็นว่าการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม

ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายจากลูกค้ารายใหม่ใน 1 เดือน การตั้ง KPI อาจตั้งว่าต้องได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น X% ใน 1 เดือน

จากตัวอย่างจะเห็นว่า KPI คือ สิ่งที่สามารถทำให้ระบุได้ชัดเจนว่าตรงไหนเรียกว่า “สำเร็จ” แทนที่จะเป็นการพูดลอย ๆ ว่าต้องการเพิ่มลูกค้าแต่ไม่รู้ว่าต้องมีลูกค้าเพิ่มขึ้นกี่คนจึงจะสำเร็จ

วิธีการตั้ง KPI

จากการที่ KPI คือเครื่องมือในการวัดผลว่าการดำเนินงานสำเร็จหรือไม่ ทำให้การตั้ง KPI ในแต่ละส่วนงานหรือแต่ละตำแหน่งจะแตกต่างกันออกไป

โดยหลักที่มักจะนำมาใช้ในการตั้ง KPI คือ หลัก SMART ที่ประกอบด้วย 5 ส่วนตามชื่อย่อของหลัก SMART คือ Specific Measurable Achievable Realistic และ Timely โดยการตั้ง KPI ด้วยหลัก SMART จะเป็นการตั้ง KPI ให้สอดคล้องกับหลักทั้ง 5 ข้อ ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปนี้:

  • Specific – มีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจน
  • Measurable – สามารวัดผลได้ในทางสถิติ
  • Achievable – เป็นเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้
  • Realistic – เป้าหมายต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง
  • Timely – มีระยะเวลากำหนดในการวัดผลชัดเจน

Specific

Specific คือ การที่ KPI จะต้องมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงและชัดเจน การกำหนด KPI ขึ้นมาต้องบอกชัดเจนว่าต้องทำอะไรหรือต้องการอะไร

ตัวอย่างเช่น KPI คือ การเพิ่มยอดขาย x% ในระยะเวลา 1 ปี จากตัวอย่าง จะเห็นว่ามีการบอกอย่างชัดเจนว่าต้องการ “เพิ่มยอดขาย”

Measurable

Measurable คือ การตั้ง KPI ต้องสามารถวัดได้ในทางสถิติ หรือก็คือตั้งเป้าหมายของ KPI เป็นตัวเลข เพื่อที่จะสามารถวัดได้อย่างชัดเจนว่าผ่านตามเป้าหมายหรือไม่ผ่าน

ตัวอย่างเช่น ตั้ง KPI ว่า เพิ่มยอดขาย 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ภายในระยะเวลา 1 ปี

จะเห็นว่าความง่ายของ KPI ที่วัดได้คือ เมื่อครบระยะเวลา 1 ปีถ้าบริษัทสามารถเพิ่มยอดได้ 15% จริงก็คือเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ก็คือไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั่นเอง

Achievable

Achievable คือ การตั้ง KPI ที่สามารถบรรลุผลหรือสำเร็จได้จริง หรือพูดง่ายให้ง่ายขึ้นก็คือ ตั้ง KPI บนความเป็นไปได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ตั้งง่ายๆ ไว้ก่อน แบบที่ทำยังไงก็สำเร็จ)

การตั้ง KPI ที่ไม่สามารถบรรลุผลได้ (การตั้ง KPI ที่เกินความจริงไปเยอะ) ตัวอย่างเช่น ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มยอดขาย 100% ใน 1 เดือน

Realistic

Realistic คือ การตั้ง KPI ต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง ต้องตั้งให้สมเหตุสมผลกับสิ่งที่เป็นอยู่

ตัวอย่างเช่น บริษัท GGEZ ขาดทุนอย่างหนักต่อเนื่องมา 5 ปี แต่กลับตั้ง KPI ว่าปีนี้ต้องมีกำไรสุทธิคิดเป็น 45% ของต้นทุน

จะเห็นว่าในความเป็นจริงแล้วการที่บริษัทขาดทุนอย่างหนักมา 5 ปีติด แค่กำไร 0% หรือไม่ขาดทุนก็ลำบากแล้ว แต่จากตัวอย่างกลับตั้งเป้า KPI ไว้ถึง 25% ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริง

Timely

Timely หมายถึง การที่ KPI ต้องมีการกำหนดช่วงระยะเวลาในการวัดผลที่ชัดเจน เช่น ภายใน 1 ปี หรือ 1 ไตรมาส

เช่น เพิ่มยอดขาย 15% ของไตรมาสถัดไป เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว จากตัวอย่าง จะเห็นว่ากำหนดเวลาของการเพิ่มยอดขายให้ได้ 15% ก็คือภายใน 1 ไตรมาสถัดไป (3 เดือนถัดไป)


ตัวอย่าง KPI

อย่างที่บอกว่า KPI (Key Performance Indicator) คือ สิ่งที่ใช้วัดผลการดำเนินงาน ดังนั้นในการตั้ง KPI ก็จะแตกต่างกันออกไปในส่วนงาน โดยจะมีหน่วยวัดหรือสิ่งที่นำมาใช้เป็นตัวชี้วัดว่าเป็นไปตามเป้าหรือไม่ที่ต่างกัน

  • KPI การตลาดและการขาย ได้แก่ จำนวนลูกค้าที่กลับมาซื้ออีกครั้ง, จำนวนลูกค้าใหม่, จำนวนการสั่งซื้อต่อเดือน, และยอดขาย เป็นต้น
  • KPI การเงินและบัญชี ได้แก่ ต้นทุนทางการเงิน, ดอกเบี้ยจ่าย, ระยะเวลาในการชำระหนี้ของบริษัท, และอัตราส่วนทางการเงินทุกตัว
  • KPI ฝ่ายผลิตและฝ่ายจัดซื้อ ได้แก่ จำนวนความผิดพลาดในการผลิต (Defect), การรับวัตถุดิบได้ทันเวลา, การผลิตที่ทันเวลา, จำนวนสินค้าคงคลัง, และต้นทุนต่อหน่วยของวัตถุดิบ เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้อง