GreedisGoods » Investment » LIBOR คืออะไร? ดอกเบี้ย LIBOR Rate บอกอะไรบ้าง

LIBOR คืออะไร? ดอกเบี้ย LIBOR Rate บอกอะไรบ้าง

by Kris Piroj
LIBOR คือ ดอกเบี้ยอ้างอิง อัตราดอกเบี้ย LIBOR Rate คือ London Interbank Offered Rate

LIBOR คืออะไร?

LIBOR คือ ชื่อย่อของ London Interbank Offered Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยของการกู้ระหว่างธนาคารของตลาด London อ้างอิงจากเงิน 5 สกุลหลักที่มีสภาพคล่องสูง ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยูโร (EUR) ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) เยน (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF)

ความสำคัญของ อัตราดอกเบี้ย LIBOR คือ การเป็นอัตราดอกเบี้ยที่มักจะถูกนำไปใช้เป็นดอกเบี้ยอ้างอิงในหลายธุรกรรมทางการเงินที่อ้างอิงจากดอกเบี้ยและเงินทั้ง 5 สกุล เช่น Interest Rate Swap และ Currency Swap (ประเทศไทยก็ใช้ LIBOR Rate ในการอ้างอิงเช่นกัน)

นอกจากนี้ LIBOR ยังมักจะถูกนำไปใช้เป็นตัวเลขคาดการณ์แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกล่าง (Policy Rate) และใช้เป็นเครื่องมือในการวัดระดับความเสี่ยงในการกู้ยืมเงิน ซึ่งเราจะอธิบายในส่วนถัดไปว่าทำไม

อัตราดอกเบี้ย LIBOR Rate จะถูกแบ่งออกเป็นหลายระยะเวลา ได้แก่ 1 วัน (ดอกเบี้ยช้ามคืน), 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 2 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน, และ 1 ปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ย LIBOR ที่ถูกพูดถึงตามปกติคือ 1 วันหรือดอกเบี้ยกู้ยืมข้ามคืนระหว่างธนาคารและสถาบันการเงิน

โดยสกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด London ที่ถูกนำมาคำนวณเป็น LIBOR Rate คือ เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ (USD)

ทำไมต้องสนใจ LIBOR Rate

เหตุผลที่ทำให้ LIBOR Rate สำคัญเป็นเพราะ LIBOR คือดอกเบี้ยจากตลาด London ซึ่ง London ถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีขนาดใหญ่มาตั้งแต่ในอดีต โดยคาดการณ์กันว่ามูลค่าของเงินที่อ้างอิงกับ LIBOR มีมูลค่ามากกว่า 370 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 เพียงปีเดียว

ทำให้เรียกได้ว่า LIBOR เกี่ยวข้องกับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในตลาดการเงินหรือไม่ เพราะเงินที่หมุนเวียนและอ้างอยู่อ้างอิงอยู่กับ LIBOR คือ เงินที่หมุนเวียนอยู่ในสถาบันการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร กองทุน บริษัทหลักทรัพย์ และประกันชีวิต

LIBOR Rate บอกอะไร

LIBOR Rate คือ ดัชนีที่มาจากการการกู้เงินระหว่างธนาคารในตลาด London ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นก็จะตั้งอยู่บนพื้นฐานความอยากให้กู้เงินเหมือนกับดอกเบี้ยทุกอย่างบนโลกนี้ ที่ยิ่งไม่อยากให้กู้เงินหรือรู้สึกว่าลูกหนี้มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ก็จะยิ่งปรับอัตราดอกเบี้ยสูง

ดอกเบี้ย LIBOR จึงเป็นตัวเลขที่สะท้อนความอยากให้กู้เงินของสถาบันการเงินที่ถือสกุลเงินอ้างอิงว่าในปัจจุบันมีความอยากให้กู้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งความอยากให้กู้หรือไม่อยากให้กู้ก็จะสะท้อนให้เห็นผ่านอัตราดอกเบี้ย LIBOR Rate ในแต่ละช่วงเวลา (ยิ่งดอกเบี้ย LIBOR สูง ยิ่งไม่อยากให้กู้)

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือช่วง วิกฤต Subprime เมื่อปี 2008 ที่อัตราดอกเบี้ย LIBOR สูงขึ้น จากการที่ธนาคารต่างไม่มั่นใจซึ่งกันและกันว่าถ้าหากให้กู้ไปจะได้เงินคืนหรือไม่ เพราะในช่วงนั้นต่างคนต่างไม่รู้ว่าจะมีสถาบันการเงินอะไรที่จะล้มตาม Lehman Brothers และ Bear Stearns ไปอีก

LIBOR คือ ดอกเบี้ย LIBOR Rate Graph 2008
กราฟอัตราดอกเบี้ย LIBOR Rate ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง Subprime จนแตะ 3%

นอกจากนี้ อีกประเด็นที่นักลงทุนสามารถพิจารณาได้จาก LIBOR Rate คือ ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในความคาดการณ์ของตลาด ถ้าหากตลาดในภาพรวมมองว่าธนาคารกลางกำลังจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) อัตราดอกเบี้ย LIBOR ก็จะปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าหากตลาดในภาพรวมมองว่าธนาคารกลางกำลังจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ดอกเบี้ย LIBOR ก็จะปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม การใช้อัตราดอกเบี้ย LIBOR Rate ในการพยากรณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น เพราะเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นจากมุมมองของคนส่วนใหญ่ในตลาดการเงินเท่านั้น

ทั้งนี้ ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง LIBOR ไม่ได้ถูกใช้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเมื่อปี 2012 ได้พบการบิดเบือนข้อมูลที่ธนาคารต้องส่งให้คำนวณ LIBOR ด้วยจุดประสงค์แทรกแซงอัตราดอกเบี้ย LIBOR ส่งผลให้ตั้งแต่นั้นมาความน่าเชื่อถือของ LIBOR ลดลงมาโดยตลอด ซึ่งสะท้อนออกมาจากการที่ธุรกรรมในตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่งผลให้ในแต่ละประเทศที่เคยใช้อัตราดอกเบี้ย LIBOR ได้พัฒนาอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงพันธบัตรภาคเอกระยะข้ามคืนขึ้นมาเอง ซึ่งสำหรับประเทศไทยเองก็ได้มีการพัฒนาดอกเบี้ยอ้างอิงพันธบัตรภาคเอกระยะข้ามคืนขึ้นมา เรียกว่า THOR หรือ Thai Overnight Repurchase Rate

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด