Licensing คือ การมอบใบอนุญาตหรือการอนุญาตให้ใช้สิทธิ หมายถึงการที่เจ้าของผลิตภัณฑ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา (Licensor) ให้ใบอนุญาตบางอย่างเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ กับผู้ผลิตรายอื่น (Licensee) เพื่อที่ Licensee นั้นจะได้มีสิทธิ์ในการผลิตตามที่ระบุอยู่ในเงื่อนไขของสัญญา Licensing ที่ตกลงกันไว้
ตัวอย่าง Licensing ที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ได้แก่ นิตยสารแบรนด์เดียวกันที่วางขายทั่วโลก, ลิขสิทธิ์การ์ตูนที่ถูกนำมาสกรีบบนเสื้อผ้า, ตัวละครจากหนังที่ถูกนำมาใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่าง (Lego Batman) เป็นต้น
โดยเราจะเรียกเจ้าของแบรนด์หรือเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้สิทธ์ Licensing ว่า Licensor และสำหรับผู้ที่ซื้อ Licensing ไปใช้ผลิตต่อจะเรียกว่า Licensee
ผลตอบแทนที่เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาหรือผลิตภัณฑ์ (Licensor) จะได้รับเรียกว่า Royalty Fee ที่อาจจะตกลงกันเป็นเปอร์เซ็นต์ จากมูลค่าที่ Licensee มีรายได้จากการใช้ Licensing
Licensing โดยทั่วไปจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการการอนุญาตให้ใช้สิทธิ คือ
- การอนุญาตให้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Licensing)
- การอนุญาตให้ใช้สิทธิโดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้สิทธิ (Non-Exclusive Licensing)
ทำไมต้อง Licensing
ในแง่ของวิธีการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศของธุรกิจหรือ Mode of Entry ข้อได้เปรียบของ Licensing คือ ความง่ายในการกระจายสินค้า/บริการ หรือทรัพย์สินทางปัญญาออกไปสร้างมูลค่าได้ทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีความพร้อมในการเข้าไปทำตลาดทุกประเทศด้วยตัวเอง
ผู้ให้สิทธิ์หรือ Licensor เป็นเพียงแค่ผู้มอบวิธีการผลิตหรือสิทธิให้ผู้ซื้อสิทธิ์ (Licensee) ตามที่ตกลงกันไว้ หลังจากนั้น Licensor มีหน้าที่เพียงแค่รับรายได้จาก Royalty Free และรักษาชื่อเสียง (หรือสร้างผลงานใหม่ ๆ เพิ่ม)
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่สำคัญของ Licensing คือ ในกรณีที่เป็นสูตรการผลิต การที่เจ้าของผลิตภัณฑ์มอบวิธีผลิตให้กับ Licensee ทุกอย่างอย่างละเอียด และทำสัญญาไม่รัดกุมมากพอ Licensee อาจนำเอาความรู้ที่ได้ไปใช้เปิดผลิตสินค้าแบบเดียวกันมาแข่งกับเราในอนาคตได้
ทำให้วิธี Licensing มักจะใช้แต่กับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตซับซ้อนและไม่ได้มีสูตรการผลิตที่พิเศษ หรือในทรัพย์สินทางปัญญาที่ลอกเลียนแบบได้ยาก
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Franchising ที่หลายคนมักจะสับสนกับ Licensing ได้ที่บทความ แฟรนไชส์ คืออะไร