New Normal คือ ความปกติแบบใหม่ หรือความปกติใหม่ตามความหมายแบบตรงตัว ซึ่งในที่นี้ความหมายของ New Normal หมายถึง ความปกติแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากการที่เรื่องปกติ (เรื่องที่เราเรียกว่าปกติ) ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน โดยอาจเป็นเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างมากระตุ้นหรือเปลี่ยนไปตามเวลา
คำว่า New Normal คือ คำที่ถูกนำมาใช้และแพร่หลายเมื่อปี 2008 โดย Bill Gross ผู้จัดการกองทุนชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในขณะนั้น Bill Gross ได้พูดถึง New Normal ของการเติบโตของเศรษฐกิจและวัฏจักรเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป หลังจากช่วง วิกฤต Subprime หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
ตัวอย่างเช่น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ A เมื่อก่อนการที่เศรษฐกิจโตปีละ 10% ถือว่าเป็นเรื่องปกติ (Old Normal) หรือเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจนทำให้พื้นฐานทางเศรษฐกิจบางอย่างเปลี่ยนไป การเติบโตปีละ 10% ของประเทศ A ไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป
New Normal หลังจากนั้นกลายเป็นว่าการที่เศรษฐกิจเติบโตปีละ 3% ถือว่าเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน (New Normal) ส่วนการเติบโตปีละ 10% แบบเมื่อก่อนกลายเป็นอัตราการเติบโตที่สูงมากไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม อะไรที่เปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว อาจเรียกไม่ได้ว่าเป็น New Normal เพราะในท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างคลี่คลายทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
ตัวอย่าง New Normal
สำหรับตัวอย่าง New Normal หรือ ความปกติแบบใหม่ ที่ง่ายกว่านั้นคือกรณีของ Package Internet บ้านราคา 700 บาท ในอดีตและปัจจุบัน
ประมาณ 7 ปีก่อน Internet ราคาเดือนละ 700 บาท ได้ความเร็ว 20/10 Mbps กับสายแบบทองแดงที่ฝนตกแล้วเน็ตจะดับเป็นปกติ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ (Old Normal) ณ เวลานั้น ในขณะที่ปัจจุบัน Internet ราคาเดือนละ 700 อย่างแย่ที่สุดคือความเร็ว 50/20 Mbps ที่มากับ Fiber Optic สายใยแก้วนำแสงที่ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนฟ้าว่า คือ New Normal
และในปัจจุบันที่คุณอ่านบทความนี้อยู่ (ในอนาคต) ก็เชื่อว่า Internet ในราคาเดือนละ 700 บาท อาจได้ความเร็วมากกว่า 50/20 Mbps อย่างแน่นอน
จากกรณี Package Internet ด้านบน New Normal คือ ขั้นต่ำของความเร็ว Internet จากการจ่ายเงิน 700 บาทต่อเดือนที่เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลมาจากพัฒนาของเทคโนโลยี
ในมุมมองทางการตลาดจะเห็นว่า ถ้าหากว่าค่าย Internet ค่ายไหนไม่สามารถมอบ New Normal ให้กับลูกค้าได้ (ในที่นี้ New Normal คือ ความเร็วขั้นที่สูงขึ้น) ลูกค้าก็จะมองว่าแบรนด์นั้นต่ำกว่ามาตรฐานและหนีไปใช้สิ่งที่ดีกว่า
New Normal หลังจาก วิกฤตโควิด 19
หลังจากการ Lock Down และ Work From Home เพื่อรับมือวิกฤตโควิด 19 สิ่งที่กลายเป็นที่จับตามองมากขึ้นคือ New Normal ของพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังจากนี้
สำหรับตัวอย่าง New Normal หลังจากจบวิกฤตโควิด 19 ที่นักการตลาดและนักลงทุนเริ่มคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากการถูกสถานการณ์โควิด 19 บีบให้ทำ และทำนานพอที่จะทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น
จุดเริ่มต้นของ Work From Home (ในไทย) ที่อาจจะไม่ถึงกับว่าการทำงานจากบ้านเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทจะใช้หลังจากนี้ แต่คาดว่า COVID-19 คือสิ่งที่มีโอกาสกลายเป็นตัวจุดประกายของการ Work From Home ของหลายบริษัท
การสั่งอาหารผ่าน Food Delivery และการซื้อสินค้าออนไลน์ จริงอยู่ที่การสั่งสินค้าออนไลน์รวมถึงอาหารมีมานานพอสมควรแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะสนใจใช้บริการ สถานการณ์ COVID-19 คือสิ่งที่บังคับให้หลายคนที่ต้องการซื้อจำเป็นต้องสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์
รับมือกับ ความปกติใหม่ ยังไง?
New Normal ไม่ว่าจะในมุมมองด้านเศรษฐกิจการเงิน หรือ ด้านการตลาด วิธีรับมือที่ดีที่สุดกับ New Normal คือ การเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และควรจะระลึกอยู่เสมอว่าพื้นฐานของอะไรก็ตามสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
ดังนั้น หน้าที่ของทั้งนักตลาดและนักลงทุนในการรับมือความปกติแบบใหม่ คือการจับตามองว่าพื้นฐาน (Fundamental) ของอะไรที่เปลี่ยนไปหรือกำลังจะเปลี่ยนไป และพิจารณาว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามหรือไม่
วิธีที่จะใช้ตัดสินว่าต้องปรับตาม New Normal หรือไม่แบบง่าย ๆ คือลองคิดดูว่าถ้าหากคุณไม่เปลี่ยนตามจากที่เป็นอยู่ จะทำให้คุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงหรือไม่? ถ้าหากว่าใช่นั่นคือ New Normal ที่คุณต้องปรับตัวตาม