OEM คือ ชื่อย่อของ Original Equipment Manufacturer หมายถึงการจ้างผลิตสินค้าสำเร็จรูปหรือชิ้นส่วนสินค้าตามความต้องการของแบรนด์ที่เป็นผู้ว่าจ้างได้กำหนดมาตรฐานเอาไว้ เพื่อนำสินค้า OEM ที่จ้างผลิตไปผลิตต่อเป็นสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) หรือแปะตราสินค้าของแบรนด์เพื่อวางขาย
พูดให้ง่ายกว่านั้นสินค้า OEM (Original Equipment Manufacturer) คือ การจ้างผลิตตามสเป็คนั่นเอง เพื่อนำไปแปะโลโก้แบรนด์ตัวเองขายนั่นเอง
ถึงแม้ว่าการจ้างผลิต สินค้า OEM คือ วิธีที่สร้างความสะดวกให้กับแบรนด์ แต่ก็เป็นวิธีที่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ความรู้ในการผลิต (Know How) จะรั่วไหลออกไปสู่คู่แข่งผ่านทาง โรงงาน OEM ที่แบรนด์จ้าง ซึ่งจะทำให้เกิดสินค้าเลียนแบบตามมาอย่างรวดเร็ว
ทำให้การจ้างผลิตสินค้าโดยจ้าง โรงงาน OEM คือ วิธีที่จะเหมาะกับสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีแบบเก่าหรือเทคโนโลยีพื้นฐานที่ใครก็รู้วิธีผลิตอยู่แล้วมากกว่าสินค้าที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกลอกเลียนแบบนวัตกรรม
ข้อดีของ สินค้า OEM คือ
ประโยชน์หลักของจ้างโรงงาน OEM คือ ความสะดวกและต้นทุนที่ลดลงจากการที่แบรนด์ไม่ต้องตั้งโรงงานผลิตสินค้าเอง ซึ่งการที่แบรนด์ไม่ต้องตั้งโรงงานเพื่อผลิตสินค้าเองจะทำให้เกิดข้อได้เปรียบในการแข่งขันดังต่อไปนี้:
ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำกว่า ในกรณีที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง บางครั้งจำนวนของสินค้าที่สามารถขายได้อาจไม่คุ้มค่าในกรณีที่ต้องตั้งโรงงานขึ้นมาผลิตสินค้าเองหรืออาจจะใช้ระยะเวลาคืนทุนที่นานเกินไป
ไม่ต้องใช้เงินทุนในการเริ่มต้นลงทุนที่สูง เนื่องจากการจ้างโรงงาน OEM คือวิธีที่ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการตั้งโรงงานผลิตสินค้าเอง ทำให้ธุรกิจไม่ต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ที่มีภาระดอกเบี้ยและกลายเป็นต้นทุนจม (Sunk Cost) จนกว่าจะคืนกำไร
สามารถย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงาน OEM ที่ต้นทุนต่ำกว่าได้ตลอด เพราะไม่มีพันธะผูกพันเหมือนกับการตั้งโรงงานขึ้นมาเอง
ง่ายต่อการเปลี่ยนลักษณะหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกผลิต การปรับสินค้า การผลิตสินค้าแบบใหม่ ทั้งหมดสามารถทำได้ง่ายๆ เพราะเจ้าของแบรนด์ไม่มีโรงงานเป็นของตัวเองและบริษัท OEM ที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วเป็นผู้จัดการให้
ข้อดีของธุรกิจ OEM
นอกจากการที่แบรนด์จ้างโรงงาน OEM ผลิตสินค้าจะได้ประโยชน์แล้ว ทางฝ่ายบริษัทรับผลิตสินค้า OEM ก็ได้ประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจผลิตสินค้าในลักษณะ OEM ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น:
- ไม่ต้องลงทุนวิจัยและพัฒนาเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะเป็นแค่การผลิตสินค้าตามที่ลูกค้าสั่ง (แต่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่รับผลิต)
- ไม่ต้องโฆษณาและประชาสัมพันธ์สินค้า เพราะไม่ได้ขายสินค้าเอง (อาจจะมีการโฆษณาให้กับลูกค้าองค์กรที่ต้องการจ้างผลิตแบบ OEM)
- ไม่ต้องคอยแสวงหาตลาดผู้บริโภค สิ่งที่บริษัทต้องหามีเพียงคู่ค้าที่เป็นแบรนด์ในลักษณะของ B2B หรือ Business to Business
ตัวอย่างสินค้า OEM ในชีวิตประจำวัน
สินค้า OEM คือ สินค้าจ้างผลิต ที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ลองมาดูตัวอย่างสินค้าที่จ้างผลิตแบบ OEM หรือ Original Equipment Manufacturer ที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันมีอะไรบ้าง
ครีมตาม Facebook หรือ ครีมกิโล OEM – รู้หรือไม่ว่าครีมที่ขายเต็มไปหมดบน Facebook หรือ Instagram ส่วนมากเป็นสินค้า OEM ที่แบรนด์จะจ้างผลิต “ครีม” เหล่านั้นแบบ OEM แล้วนำครีมมาติดฉลากแบรนด์ของตัวเองขาย
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม Facebook หลาย ๆ คนที่ขายครีมมักจะเขียนว่าเป็นเจ้าของแบรนด์ xxx ทั้งที่ไม่เคยโพสภาพเกี่ยวกับโรงงานหรือพูดถึงเรื่องโรงงาน
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่น หูฟัง (โดยเฉพาะ Brand ที่ Made In China) – หลายแบรนด์มักจะใช้การจ้าง โรงงาน OEM ผลิตสินค้าเพื่อขายในประเทศแถบนั้น เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าจากการส่งสินค้ามาจากอีกซีกโลก
สินค้า House Brand ของห้าง (สินค้าแบรนด์ของห้าง) – สินค้าแบรนด์ของห้างที่วางขายคู่กับแบรนด์ชื่อคุ้นหู มักจะจ้างโรงงานเดียวกับสินค้าแบรนด์คุ้นหูในการผลิตสินค้าเพื่อนำมาวางขายจับกลุ่มลูกค้าที่ชอบสินค้าราคาถูก
อ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้า House Brand เพิ่มเติมได้ที่บทความ – House Brand คืออะไร? มารู้จักกับสินค้า House Brand
สรุป Original Equipment Manufacturer หรือ OEM คือ สินค้าที่เป็นของแท้ เพียงแต่แบรนด์ไม่ได้ผลิตเอง (ในกรณีที่ไม่ได้ถูกแอบอ้างชื่อ) หรือพูดให้ง่ายกว่านั้น OEM คือ การจ้างบริษัทผลิตสินค้าตามสเป็ค เพื่อนำมาแปะโลโก้ขายภายใต้แบรนด์ของบริษัท โดยที่บริษัทไม่ต้องมีแม้แต่โรงงานผลิต