GreedisGoods » Economics » ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา คืออะไร? (Price Elasticity of Demand)

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา คืออะไร? (Price Elasticity of Demand)

by Kris Piroj
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา คือ Price Elasticity of Demand คือ ความยืดหยุ่น เศรษฐศาสตร์

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา คือ การเปรียบเทียบระหว่างระดับความต้องการสินค้า (Demand) กับราคาสินค้า (Price) เมื่อราคาสินค้าดังกล่าวเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลง Price Elasticity of Demand คือ อัตราส่วนที่จะแสดงให้เห็นว่าปริมาณความต้องการซื้อ (Demand) จะเปลี่ยนแปลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อระดับราคาสินค้า (Price) เกิดการเปลี่ยนแปลง

พูดให้ง่ายกว่านั้น ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand) คือตัวเลขที่บอกว่าถ้าสินค้าราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลง X% ความต้องการซื้อสินค้าดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงกี่เปอร์เซ็นต์

ตัวอย่างเช่น น้ำมันดีเซลราคาลดลง 3% ทำให้ปริมาณความต้องการเติมน้ำมันมากขึ้น 25% (คนไปเติมน้ำมันมากขึ้น 25%)

สำหรับประโยชน์ของตัวเลขที่ได้จาก ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand) คือ ตัวเลขที่มักนำไปใช้ในการ ประเมินสภาพเศรษฐกิจ รวมไปถึงใช้ในการพิจารณาการตั้งราคาสินค้าควบคู่กับ กลยุทธ์การตั้งราคา (Price Strategy)

เนื่องจาก ทั้ง 2 ตัวเลขเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นว่าควรตั้งราคาไว้ที่ระดับราคาใดผู้บริโภคถึงจะสามารถซื้อได้ จากการที่ทั้ง 2 ประเด็นเป็นตัวเลขที่มาจากเรื่องของกำลังซื้อของผู้บริโภค

วิธีคำนวณ ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา คำนวณ ได้ 2 วิธีคือ 

  1. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาแบบจุด
  2. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาแบบช่วง

โดยความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาจะคำนวณออกมาโดยมีหน่วยเป็น ร้อยละ หรือ เปอร์เซ็นต์

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา แบบจุด

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (ตัวย่อ PED หรือ Ep) = เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของความต้องการซื้อ ÷ เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคา

เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ = ความต้องการซื้อใหม่ – ความต้องการซื้อเก่า

เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคา = ราคาใหม่ – ราคาเก่า

สมมติว่า สินค้า A ราคา 5 บาท มีปริมาณความต้องการซื้อ 100 หน่วย เมื่อราคาสูงขึ้นเป็น 7 บาท ปริมาณความต้องการซื้อลดลงเหลือ 70 หน่วย

จากตัวอย่างด้านบนจะเห็นว่า:

เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อ เปลี่ยนไป 30 หน่วย หรือคิดเป็น 30% (-30 ÷ 100 x 100)

เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคา เปลี่ยนไป 2 บาท หรือคิดเป็น 40% (2 ÷ 5 x 100)

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา หรือ Ep = -30 ÷ 40 = -0.75%

ดังนั้น ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา คือ -0.75% ซึ่งอธิบายได้ว่าถ้าหากราคาสินค้า A (Price) เพิ่มขึ้น 1% ความต้องการสินค้า A จะลดลง -0.75%

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา แบบช่วง

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาแบบช่วง = (ΔQ ÷ ΔP) x [(P1 + P2) ÷ (Q1 + Q2)]

ΔQ = Q1 – Q2 หรือ ปริมาณเก่า – ปริมาณใหม่

ΔP = P1 – P2 หรือ ราคาเก่า – ราคาใหม่

P1 คือ ราคาเก่า, P2 คือ ราคาใหม่, Q1 คือ ปริมาณความต้องการเก่า และ Q2 คือ ปริมาณความต้องการใหม่

สมมติว่า สินค้า B ราคา 5 บาท มีปริมาณความต้องการซื้อ 100 หน่วย เมื่อราคาสูงขึ้นเป็น 7 บาท ปริมาณความต้องการซื้อลดลงเหลือ 70 หน่วย

ΔQ = 100 – 70 = 30

ΔP = 5 – 7 = -2

แทนค่าลงในสมการจะได้ PED = (30 ÷ (-2)) x [(5 + 7) ÷ (100 + 70)]

PED = -1.0588

อธิบายได้ว่า ถ้าหากราคาสินค้า B (Price) เพิ่มขึ้น 1% ความต้องการสินค้า B จะลดลง 1.0588%

และสามารถบอกได้ว่า สินค้า B เป็นสินค้าประเภทที่มี ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคามาก (Elasticity Demand) เนื่องจาก |-1.0588| มากกว่า 1


สำหรับค่าที่ได้จากการคำนวณความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา ควรออกมาเป็นลบถ้าหากราคาสูงขึ้น เพราะราคาสินค้า (Price) จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงข้ามกับปริมาณสินค้า (Quantity) อย่างที่หลายคนน่าจะเคยเห็นจาก Law of Demand หรือ กฎของอุปสงค์ ที่อธิบายไว้ว่า:

  • ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น (Price สูง) ความต้องการซื้อจะลดลง (Demand ต่ำ)
  • ราคาสินค้าลดลง (Price ต่ำ) ความต้องการซื้อจะเพิ่มขึ้น (Demand สูง)

สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นฐานของความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand)

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด