เมื่อทองคำกำลังร้อนแรงสิ่งหนึ่งที่ต้องหยิบยกมาพูดถึงคือ Real Yield หรือ ผลตอบแทนที่แท้จริง มาดูกันว่า Real Yield คือ อะไร? และสำคัญอย่างไร
Real Yield คือ ผลตอบแทนที่แท้จริงที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุน โดย Real Yield จะคำนวณมาจากผลตอบแทนของการลงทุนที่ได้รับ (Nominal Yield) หักออกด้วยอัตราเงินเฟ้อของเงินสกุลนั้น (Inflation) นั่นหมายความว่าถ้าอัตราเงินเฟ้อยิ่งสูงก็จะยิ่งทำให้ Real Yield ลดลง
หรือเขียนเป็นสมการได้คือ Real Yield = Nominal Yield – Inflation Expectation
อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง หรือ Real Yield คือ เครื่องมือที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้สำหรับการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงนั้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่มากกว่ามูลค่าของเงินที่จะลดลงตามเงินเฟ้อ
ดังนั้น เมื่อ Real Yield ปรับลดลงก็จะหมายความว่าผลตอบแทนจากพันธบัตรลดลง และเมื่อลดลงมากจนถึงจุดที่ลงทุนในสินทรัพย์อื่นดีกว่า เงินลงทุนจากพันธบัตรก็จะไหลไปหาสินทรัพย์ชนิดอื่น ซึ่งมักจะเป็นทองคำและหุ้น
ตามปกติ Real Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 จะถูกนำมาเปรียบเทียบมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการนำ Real Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ไปเปรียบเทียบกับราคาทองคำหรือดัชนีหุ้นที่ต้องการเปรียบเทียบผลตอบแทน

Real Yield คือสิ่งที่คำนวณมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Nominal Yield) และอัตราเงินเฟ้อคาดหวัง (Inflation Expectation) ทำให้เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Nominal Yield) ลดลงด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือการเทขายพันธบัตรรัฐบาลที่ธนาคารกลางได้ซื้อไว้เมื่อครั้งที่ใช้มาตรการ QE หรืออัตราเงินเฟ้อคาดหวัง (Inflation Expectation) เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ Real Yield ลดลง
ในทางกลับกันเมื่อ Nominal Yield เพิ่มขึ้น จากทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลผ่านมาตรการ QE หรืออัตราเงินเฟ้อคาดหวัง (Inflation Expectation) ลดลง ก็จะทำให้ Real Yield เพิ่มขึ้น
ข้ามไปที่หัวข้อที่ต้องการ
วิธีคำนวณ Real Yield
วิธีคำนวณ Real Yield สามารถทำได้ง่ายและตรงไปตรงมาด้วยคณิตศาสตร์พื้นฐาน โดยการนำผลตอบแทนพันธบัตรลบออกด้วยอัตราเงินเฟ้อ หรือ Real Yield = Nominal Yield – Inflation Expectation

- Real Yield คือ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่จะได้จากการคำนวณ
- Nominal Yield คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ระบุไว้ อย่างเช่น ผลตอบแทนที่เขียนไว้หน้าพันธบัตร
- Inflation Expectation คือ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์เป็นอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต ตามปกติจะใช้ตัวเลข 10-Year Breakeven Inflation Rate
สำหรับ Real Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 5, 7, 10, 20, และ 30 ปี สามารถดูแบบรายวันของทุกอายุได้จากเว็บไซต์กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Department of the Treasury)
ตัวอย่าง การหาผลตอบแทนที่แท้จริง
สมมติว่า พันธบัตรสหรัฐอายุ 1 ปี ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของสหรัฐอยู่ที่ 6% และพันธบัตรญี่ปุ่นอายุ 1 ปี ให้ผลตอบแทน 12% ต่อปี โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของญี่ปุ่นอยู่ที่ 9%
Real Yield พันธบัตรสหรัฐ = 10 – 6 = 4%
Real Yield พันธบัตรญี่ปุ่น = 12 – 9 = 3%
จากตัวอย่างจะเห็นว่า แม้ว่าที่หน้าพันธบัตรของญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนถึง 12% แต่เมื่อหักเงินเฟ้อออกไป กลับให้ผลตอบแทนที่แท้จริงหรือ Real Yield เพียง 3% เท่านั้น
ในขณะที่พันธบัตรสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนหน้าพันธบัตรน้อยกว่า กลับให้ผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) มากกว่า โดยให้ผลตอบแทนที่ 4%
Real Yield สะท้อนอะไร
อย่างที่ได้อธิบายในตอนต้นว่า Nominal Yield คือ อัตราผลตอบแทนในการลงทุน ในที่นี้คือผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะเปลี่ยนไปตาม อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) ที่กำหนดโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
เมื่อธนาคารกลางลดดอกเบี้ยลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Nominal Yield ก็จะลดลง ส่งผลให้ Real Yield ลดลงตาม และอีกปัจจัยหนึ่งคือปัจจัยจากเงินเฟ้อที่เป็นตัวเลขที่นำมาลบกับผลตอบแทนตามที่ได้อธิบายในสมการด้านบนส่งผลให้เมื่ออัตราเงินเฟ้อคาดหวัง (Inflation Expectation) เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ Real Yield ลดลงตามเช่นกัน

การที่ Real Yield ลดลงจะส่งผลให้นักลงทุนเริ่มไม่อยากลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรืออาจทำให้นักลงทุนเลือกที่จะย้ายเงินลงทุนออกจากพันธบัตรรัฐบาลไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) ในช่วงเวลานั้น ซึ่งมักจะเป็นทองคำและหุ้นที่มีทิศทางราคาตรงข้ามกับ Real Yield ซึ่งเราเรียกพฤติกรรมนี้ของนักลงทุนว่าพฤติกรรม Search for Yield หรือพฤติกรรมแสวงหาผลกำไร
ในทางกลับกันสำหรับ Real Yield ที่สูงจะส่งผลให้นักลงทุนสนใจที่จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมากกว่า เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลความเสี่ยงที่ต่ำกว่าและจากการที่ผลตอบแทนพันธบัตรที่กลับมาสูงอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดพันธบัตรจนทำให้ Bond Yield ลดลง
ข้อมูลอ้างอิงจาก: TradingView, Nasdaq