GreedisGoods » Investment » ROE คืออะไร? Return on Equity บอกอะไรนักลงทุน

ROE คืออะไร? Return on Equity บอกอะไรนักลงทุน

by Kris Piroj
ROE คือ หุ้น Return on Equity คือ สูตร ROE บอกอะไร

ROE คืออะไร?

ROE คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างกำไรสุทธิกับส่วนของผู้ถือหุ้น ROE หรือ Return on Equity เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้บอกว่าบริษัทมีกำไรสุทธิเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เทียบกับเงินทุนของบริษัท

โดยค่า ROE หรือ Return on Equity เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่นักลงทุนนิยมนำมาใช้ประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจากส่วนของผู้ถือหุ้น เนื่องจากค่า ROE หมายถึง กำไรสุทธิเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น

กล่าวคือ ROE คือสิ่งที่บอกว่าบริษัทมีความสามารถในการสร้างกำไรสุทธิได้กี่บาทจากต้นทุนของนักลงทุนทุก 100 บาท และในทางกลับกันส่วนที่ไม่ใช่กำไรก็คือต้นทุนที่บริษัทได้ใช้ไปในการสร้างกำไรสุทธิ

ด้วยเหตุผลในลักษณะนี้ทำให้นักลงทุนหลายคนเชื่อว่าหุ้น ROE สูงกว่า คือ หุ้นที่ดีกว่า เพราะมองว่ามีโอกาสทำกำไรได้สูงกว่าด้วยเงินลงทุนที่เท่ากัน จากความสามารถในการเปลี่ยนเงินทุนเป็นกำไรของกิจการที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักในการใช้ Return on Equity หรือ ROE (ตลอดจนอัตราส่วนทางการเงินใดก็ตาม) คือการที่ตัวเลขที่นำมาคำนวณเป็นค่า ROE เป็นตัวเลขจากงบแสดงฐานะการเงินที่เป็นเหตุการณ์ในอดีต ดังนั้น ROE ที่ได้จากการคำนวณคือเรื่องในอดีตเป็นเพียงแนวโน้มเพื่อในการตัดสินใจเท่านั้น ไม่ใช่การทำนายอนาคตจากการที่ผลการดำเนินในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไป

สูตร ROE

การคำนวณ Return on Equity หรือ ROE เป็นการเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างกำไรสุทธิ (Net Profit) กับส่วนของผู้ถือหุ้น (Owner’s Equity) และแปลงออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ (Percent) โดยสามารถเขียนเป็นสมการสูตร ROE ดังนี้

ROE = (กำไรสุทธิ ÷ ส่วนของเจ้าของ) x 100%

โดยค่า ROE ที่คำนวณออกมาจะมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ และค่า ROE ที่ดีกว่าควรมีค่ามากกว่า เมื่อเทียบกับอัตราส่วน ROE ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกันหรือเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

ROE สูง คือ สิ่งที่เกิดจากการที่บริษัทมีสัดส่วนกำไรสุทธิมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น หรือในอีกความหมายคือบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทน (กำไร) ได้สูงเมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของที่มีอยู่

ROE ต่ำ คือ การที่บริษัทมีกำไรสุทธิต่ำกว่า (หรือไม่สูงมากนัก) เมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของที่มีอยู่ ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนได้ต่ำเมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของที่ธุรกิจมีอยู่

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่าง ๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยอาจไม่จำเป็นที่จะต้องคำนวณ ROE ด้วยตัวเอง เพราะนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถดู ค่า ROE ของบริษัททุกบริษัทได้ที่หน้าข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์ในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ

ROE คือ ค่า ROE หุ้น วิเคราะห์ Return on Equity คือ สูตร
เมื่อสามารถเลือกหุ้นของบริษัทที่ต้องการ จากนั้นไปที่ Tab งบการเงิน/ผลประกอบการ จะพบกับ ROE ของหุ้นตามภาพ

กับดัก ROE สูงที่ควรระวัง

ค่า ROE ที่สูงบางครั้งก็อาจจะไม่ได้มาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ทำให้ถ้าหากถามว่าหุ้น ROE สูงดีหรือไม่ อาจจะตอบได้ไม่เต็มปากว่าดี ซึ่งต้องพิจารณาเพิ่มเติมต่ออีกว่าสิ่งที่ทำให้ ROE สูง คือ ความสามารถในการทำกำไรจากต้นทุน (ส่วนของเจ้าของ) ที่มีอยู่จริงหรือไม่

เพราะในบางกรณี ROE ที่สูงอาจมาจากการที่บริษัทมีจำนวนส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่น้อย (ตัวหารน้อยค่า ROE เลยออกมาสูง) หรือบริษัทกู้เงินมาเพิ่มเพื่อเพิ่มกำไรจนทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิสูง ซึ่งส่งผลให้ ROE เพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย

สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าทำไม อย่างที่เห็นว่าวิธีหาอัตราส่วน Return on Equity หรือ ROE เกี่ยวกับตัวเลข 2 ตัว คือ กำไรสุทธิ หารด้วย ส่วนของเจ้าของ กล่าวคือโจทย์ในการทำให้ค่า ROE สูงในทางคณิตศาสตร์สามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่

  1. ลดตัวหาร หรือ การลดส่วนของเจ้าของ
  2. เพิ่มตัวตั้ง หรือ การเพิ่มกำไรสุทธิ

วิธีที่ 1 การลดตัวหาร หรือ การลดส่วนของเจ้าของ สามารถทำได้ด้วยการซื้อหุ้นคืนหรือการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง เพื่อทำให้ส่วนของเจ้าของไม่เพิ่มขึ้นมากจากกำไรสะสม (Retained Earnings) ที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งวิธีนี้มักจะไม่ใช่ปัญหาเพราะชัดเจนว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้

วิธีที่ 2 ที่ทำให้ ROE สูงและเป็นปัญหาคือการเพิ่มตัวตั้ง หรือ การเพิ่มกำไรสุทธิ ที่สามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่เป็นปัญหาคือ “การสร้างหนี้เพิ่ม” เพื่อเพิ่มยอดขาย

ตัวอย่างเช่น บริษัท GreedisGoods กู้เงิน 1 ล้านบาทด้วยดอกเบี้ย 8% เพื่อซื้อสินค้ามาขาย แต่บริษัททำกำไรจากการขายได้ 50,000 บาท (กำไร 0.5% จากต้นทุน) เรียกได้ว่าเป็นกำไรที่ต่ำมากและไม่พอที่จะจ่ายดอกเบี้ย แต่เพราะค่า ROE คือ อัตราส่วนที่คำนวณมาจาก กำไรสุทธิ ÷ ส่วนของเจ้าของ ทำให้ต่อให้บริษัทกู้เงินมาในระดับที่บริษัทจ่ายคืนไม่ไหว ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเลข ROE แย่ลงได้ (ในทางกลับกันกำไรสุทธิที่เพิ่มยิ่งทำให้ค่า ROE สูง) ซึ่งในส่วนนี้เองที่เรียกได้ว่าเป็น “กับดัก ROE”

บทความที่คุณอาจสนใจ

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด