Safe Haven คืออะไร?
Safe Haven คือ ที่หลบภัยในการลงทุน โดยจะเป็นสินทรัพย์อะไรก็ตามที่นักลงทุนสามารถใช้เป็นที่หลบภัยในการลงทุน เมื่อตลาดอยู่ในภาวะที่ผันผวนอย่างมาก เรียกได้ว่า Safe Haven คือสินทรัพย์ (Asset) ที่นักลงทุนสามารถเข้าไปทำกำไรหรือนำเงินทุนเข้าไปพักไว้ชั่วคราวในระหว่างที่ตลาดเกิดความผันผวนสูงจากเหตุบางอย่าง
ถ้าหากพูดถึง Safe Haven สิ่งที่นักลงทุนหลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อพูดเกี่ยวกับ Safe Haven คือทองคำ (Gold) แต่ในความเป็นจริงแล้ว Safe Haven ไม่ได้มีแต่ทองคำเท่านั้น
โดยเหตุผลที่นักลงทุนทั่วไปใช้ ทองคำ (Gold) เป็นที่หลบภัย หรือ Safe Haven เพราะเชื่อว่าไม่ว่าตอนไหนทองคำ (Gold) ก็เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในตัวเองจากการที่เป็นแร่หายาก (ในโลก) ไม่ว่าจะเป็นในปัจจุบันที่สงบสุขดีหรือช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงินหรือแม้กระทั่งช่วงสงคราม
ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้จำเป็นที่มองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดขนาดนั้น (และทองก็ไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น) และในทางปฏิบัติ Safe Haven ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว
ดังนั้น Safe Haven จึงเป็นสินทรัพย์อะไรก็ได้ที่ปลอดภัย (ปลอดภัยกว่า) ผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์เสี่ยงที่กำลังผันผวน ที่นักลงทุนสามารถย้ายเงินทุนเข้าไปพักเพื่อความปลอดภัยของเงินทุนจากความผันผวน
Safe Haven ความหมายว่า “ที่หลบภัย” โดยคำว่า Safe Haven มาจาก 2 คำ คือ Safe ที่หมายถึง ปลอดภัย และคำว่า Haven ที่หมายถึง ที่พัก (ไม่ใช่ Heaven ที่แปลว่า สวรรค์ ที่หลายคนเข้าใจผิด)
ตัวอย่าง การทำงานของ Safe Haven
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Safe Haven คือช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Subprime Crisis) ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2008 จะเห็นว่าการลงทุนในสหรัฐอเมริกาไม่ปลอดภัยกับเงินทุนเท่าไหร่นัก ทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยในการลงทุน
ในตอนนั้นเอง Safe Haven ของนักลงทุนที่หนีมาจากวิกฤต Subprime คือ Emerging Market หรือ ตลาดเกิดใหม่ อย่างเช่น ไทย มาเลเซีย และไต้หวัน
ประเทศเหล่านี้ถือเป็นทางออกที่นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกย้ายเงินทุนเข้ามา เพราะประเทศเหล่านี้แทบจะไม่ได้รับผลจากวิกฤต Subprime และประเทศเหล่านี้มีอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest Rate) ที่สูงกว่าในขณะนั้น จากการที่วิกฤติที่เกิดขึ้นทำให้ดอกเบี้ยของประเทศใหญ่ๆ ที่ได้รับผลกระทบในขณะนั้นจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยฯ ลง
จากตัวอย่าง จะเห็นว่า Safe Haven ของวิกฤติ Subprime เมื่อปี 2008 ก็คือการเข้าไปลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพันธบัตรรัฐบาล การถือเงินสกุลนั้นๆ หรือลงทุนในหุ้นก็ตาม
Safe Haven มีอะไรบ้าง?
ในเมื่อ Safe Haven เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ดังนั้นก็ไม่มีอะไรที่สามารถพูดได้ตายตัวว่าเป็น Safe Haven ในทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตามมาดู ตัวอย่าง Safe Haven และตัวอย่างสินทรัพย์ที่นักลงทุนเชื่อว่าเป็น Safe Haven ในอดีต
ทองคำ (Gold) สินทรัพย์ที่ถือเป็น Safehaven สุด Classic ที่ได้อธิบายไปแล้วในตอนต้น
พันธบัตรรัฐบาล (Bond) ของประเทศที่เศรษฐกิจมีความมั่นคง ด้วยความเชื่อที่ว่ายังไงประเทศนึงไม่ได้ล่มง่ายๆ อยู่แล้ว (อย่างน้อยก็ในระยะสั้น)
เงิยฟรังก์สวิส (CHF) เงินของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการเงินการธนาคาร และความเป็นกลาง อย่างน้อยเกิดสงครามขึ้นมาประเทศนี้ก็ไม่น่าโดน
เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) คนเชื่อว่าเป็นประเทศที่มันคง จนนำไปใช้เป็น Safe Haven จนเงินแข็งค่าไม่หยุดในช่วงที่ผ่านมา จากการที่เงินลงทุนไหลเข้าไปจากความกังวลในหลายๆ อย่าง
เงินสกุลหลักอื่นๆ ของโลก อย่างเช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เงินยูโร (EUR) เงินปอนด์ของอังกฤษ (GBP) เงินหยวนของจีน (CNY) และ เงินดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) ในกรณีนี้ถ้าเงินสกุลหลักสกุลหนึ่งมีปัญหา เงินลงทุนหรือ Fund Flow ก็จะย้ายไปหาอีกสกุล
หุ้นในตลาดหุ้นใหญ่ ในช่วงที่ตลาดหุ้นเล็กกำลังมีปัญหา อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน และ ฮ่องกง เป็นต้น
หุ้นในตลาดหุ้นเล็ก ในช่วงที่ตลาดหุ้นใหญ่กำลังมีปัญหา ซึ่งตลาดหุ้นเล็กในที่นี้ก็คือ ตลาดหุ้นใน Emerging Market อย่างเช่น ไทย ไต้หวัน มาเลเซีย
เงินบาทไทย (THB) ในความเป็นจริง ถ้าตัดประเทศใหญ่ๆ ออกไป เงินบาทของไทยถือเป็นสกุลเงินลำดับแรกที่ความผันผวนต่ำ (คนละเรื่องกับสภาพเศรษฐกิจ) และมีต่างชาตินำเงินเข้ามาพักเป็นระยะ จะเห็นว่ามีเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาอยู่เป็นระยะ (จนล่าสุด 1 ปีหลังจากเขียนบทความนี้ เงินบาทกลายเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในโลก)