GreedisGoods » Marketing » Share of Wallet คืออะไร? ทำไมถึงต้องสนใจ Wallet Share

Share of Wallet คืออะไร? ทำไมถึงต้องสนใจ Wallet Share

by Kris Piroj
Share of Wallet คือ ส่วนแบ่งเงิน ในกระเป๋าลูกค้า Wallet Share การตลาด

Share of Wallet คืออะไร?

Share of Wallet คือ ส่วนแบ่งของเงินในกระเป๋าของลูกค้าโดยเฉลี่ยต่อคน เป็นส่วนแบ่งของเงินที่แบรนด์หนึ่งจะได้จากลูกค้าในการซื้อสินค้าประเภทหนึ่งของแบรนด์เราเมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งในสินค้าประเภทเดียวกันที่ลูกค้าจ่ายเงินซื้อเหมือนกัน

ตัวอย่างเช่น ในแต่ละเดือนถ้าหากลูกค้าคนหนึ่งดื่มชาเขียวอยู่ 2 ยี่ห้อคือยี่ห้อ A และ B โดยลูกค้าซื้อชายี่ห้อ A เดือนละ 100 บาท และซื้อชายี่ห้อ B เดือนละ 300 บาท นั่นหมายความ Share of Wallet ของลูกค้าคนนั้นในการใช้จ่ายซื้อชาเขียวยี่ห้อ A คือ 25% และยี่ห้อ B คือ 75%

ในทางกลับกันถ้าหากลูกค้าคนดังกล่าวดื่มชาเขียวยี่ห้อ A เพียงยี่ห้อเดียว นั่นหมายความว่าแบรนด์ A จะได้ส่วนแบ่ง Share of Wallet หรือ Wallet Share ถึง 100% จากลูกค้าคนดังกล่าว

โดยปกติแบรนด์จะพยายามให้แบรนด์ของตนได้รับส่วนแบ่ง Share of Wallet ที่สูงที่สุดจากลูกค้า ไม่แพ้กับการพยายามแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) เพราะการที่ Share of Wallet ยิ่งสูง ยิ่งหมายความว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าของแบรนด์นั้นในปริมาณที่สูงขึ้นนั่นเอง ทำให้นอกจากแต่ละแบรนด์จะพยายามแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) การแย่งส่วนแบ่งในกระเป๋าเงินของลูกค้า (Share of Wallet) จึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

จะเห็นว่า Share of Wallet หรือ Wallet Share คือการที่แต่ละแบรนด์พยายามจะแย่งเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) จากกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีอยู่ในตลาดโดยไม่จำเป็นต้องหาลูกค้าเพิ่ม ซึ่งกลยุทธ์ในลักษณะนี้เรียกว่ากลยุทธ์การเติบโต (Growth Strategy) แบบ Market Penetration

ทำไมต้องสนใจ Share of Wallet

Share of Wallet เป็นเรื่องของเงินของลูกค้าที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะจำกัดเพราะว่าลูกค้ากันเงินเพื่อใช้กับบางเรื่องจำนวนหนึ่งหรือจำกัดเพราะว่ารายจ่ายของลูกค้าตึงตัวก็ตาม ดังนั้นการทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าของแบรนด์เราเพียงแบรนด์เดียวก็จะทำให้ลูกค้ามียอดขายสูงที่สุดจากลูกค้าคนหนึ่งเท่าที่จะเป็นไปได้

และในอีกกรณีคือการที่ลูกค้ามีเงินสำหรับใช้จ่ายในสินค้าหนึ่งอย่างจำกัด ทำให้หลายครั้งลูกค้าจำเป็นที่จะเลือกสินค้าที่ตอบสนองพวกเขาได้มากที่สุด ท่ามกลางแบรนด์สินค้าหลากหลายแบรนด์ที่มีให้เลือก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดของการที่ลูกค้าต้องเลือก เพราะเงินของลูกค้ามีอยู่อย่างจำกัดก็คือบริการ Streaming Online ที่มีอยู่มากมายหลายแบรนด์ จนทำให้เกิดปัญหาในลักษณะที่ว่าถ้า Subscribe หรือสมัครบริการรายเดือนก็นับว่าเป็นเงินก้อนโต

ในขณะที่ลูกค้าโดยทั่วไปอาจยอมใช้เงินในการ Subscribe บริการ Streaming หนังเพียงเดือนละ $15 – $30 ต่อเดือนเท่านั้น

  • Netflix Standard เดือนละ $13.99
  • HBO Max เดือนละ $14.99
  • Apple TV+ เดือนละ $4.99
  • Disney Plus เดือนละ $6.99
  • Amazon Prime Video เดือนละ $5.99
  • Hulu เดือนละ $5.99

นั่นหมายความว่า ไม่ใช่ทุกบริการ Streaming ทุกบริการด้านบนที่ลูกค้าจะสมัครสมาชิก (Subscribe) ในทุก ๆ เดือน ซึ่งเป้าหมายของแบรนด์เหล่านี้ก็คือการเอาตัวเองไปอยู่ในส่วนหนึ่งของ Wallet Share ของลูกค้าคนหนึ่งนั่นเอง

นอกจากนี้ ในสินค้าบางประเภทการทำให้ลูกค้าหันมาใช้สินค้าของแบรนด์ตนเองเพียงแบรนด์เดียวหรือครอง Share of Wallet 100% สำหรับสินค้าดังกล่าว ยังสามารถช่วยทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องหาลูกค้าใหม่

ตัวอย่างเช่น จากเดิมที่นาย A ดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อ Coca Cola 50% และดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อ Pepsi 50% ถ้าหากว่า Coca Cola หรือ Pepsi แย่ง Share of Wallet ทั้งหมดของคู่แข่งมาได้ ก็จะทำให้ยอดขายจากลูกค้าคนดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด