ราคาหุ้น มีกลไกอย่างไร?
ราคาหุ้น คือ ราคาที่มีกลไกตามความต้องการซื้อและความต้องการขายไม่ต่างจากราคาสินค้าทั่วไป เมื่อหุ้นมีความต้องการซื้อมากกว่าความต้องการขายราคาหุ้นจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และในทางกลับกันหากหุ้นมีความต้องการขายมากกว่าต้องการซื้อราคาหุ้นก็จะมีแนวโน้มลดลง
กล่าวคือ ราคาหุ้นของบริษัท คือ สิ่งที่สะท้อนการรับรู้และความคาดหวังของนักลงทุนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานทางการเงินในปัจจุบันและอนาคต
ถ้าหากนักลงทุนมีมุมมองที่ดีต่อบริษัทหรือหุ้นดังกล่าวในอนาคต หุ้นดังกล่าวก็จะเป็นที่ต้องการซื้อ ส่งผลให้ราคาหุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการที่ความต้องการซื้อมากกว่าความต้องการขาย (Demand > Supply)
ในทางกลับกันถ้าหากนักลงทุนมีมุมมองในแง่ลบต่อหุ้นดังกล่าวก็จะทำให้หุ้นไม่เป็นที่ต้องการ และมีแนวโน้มที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงจากความต้องการขายที่มากกว่าความต้องการซื้อ (Demand < Supply)
แล้วอะไรมีผลกับราคาหุ้นบ้าง?
ทั้งนี้ มีปัจจัยมากมายที่สามารถส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุนที่จะส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้ โดยทั่วไปมักจะเป็นมุมมองที่เกี่ยวข้องกับประเด็น ดังนี้:
ผลประกอบการของบริษัท: การเข้ามาเป็นเจ้าของบริษัทและรับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่เกิดจากผลกำไรของธุรกิจ เป็นพื้นฐานที่สุดของการลงทุนในหุ้น หากบริษัทมีผลกำไรที่แข็งแกร่ง ราคาหุ้นของบริษัทก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเนื่องจากนักลงทุนจะมองว่าธุรกิจมีอนาคตที่ดี และในทางกลับกัน นอกจากนี้ในประเด็นเรื่องผลประกอบการของบริษัทอาจรวมไปถึงเรื่องของความรุนแรงในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมที่ส่งผลถึงต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ
การประกาศและข่าวสารของบริษัท: การประกาศที่สำคัญ อย่างเช่น รายงานผลประกอบการ การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการบริหารจัดการ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การจ่ายเงินปันผล การซื้อหุ้นคืน หรือการควบรวมกิจการ สามารถส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้เช่นกัน เนื่องจากอาจเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ
สภาวะเศรษฐกิจ: ไม่ว่าจะเป็น เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการใช้จ่ายของผู้บริโภคสามารถมีผลกระทบอย่างมากผลประกอบการของธุรกิจ ซึ่งอาจต่อราคาหุ้น นอกจากนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจดียังอาจทำให้นักลงทุนกล้าที่จะนำเงินเก็บมาลงทุนมากขึ้นอีกด้วย
ความเชื่อมั่นของนักลงทุน: เป็นเรื่องของความรู้สึกโดยรวมของนักลงทุนเกี่ยวกับตลาดหุ้นหนึ่ง (รวมถึงบริษัทใดบริษัทหนึ่ง) สามารถส่งผลต่อราคาหุ้นได้ เมื่อนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในหุ้นในบริษัทดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดดังกล่าวที่ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น
ความคาดหวังของตลาด: หากผลประกอบการของบริษัทเป็นไปตามหรือเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ราคาหุ้นของบริษัทก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีก ในทางกลับกัน หากผลประกอบการต่ำกว่าความคาดหวัง ราคาหุ้นอาจลดลง และอุตสาหกรรมก็อาจจะได้รับความสนใจน้อยลงได้เช่นกัน
แนวโน้มอุตสาหกรรม: แนวโน้มอุตสาหกรรมอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทที่ดำเนินงานในอุตสาหกรรมนั้น หากอุตสาหกรรมมีการเติบโตที่โดดเด่น บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้นมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากความสนใจของนักลงทุนต่ออุตสาหกรรมนั้นที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อบริษัทเทคโนโลยีใน Dow Jones ให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูด ก็มีแนวโน้มที่นักลงทุนจะมองหาบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อคาดหวังผลตอบแทนแบบเดียวกันในอนาคต เป็นต้น
การซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน: การซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในหรือการซื้อหรือขายหุ้นของบริษัทโดยผู้บริหารหรือพนักงานบนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้ หากคนวงในกำลังซื้อหุ้น บางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับบริษัท ในทางกลับกัน หากคนวงในกำลังขายหุ้น อาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงลบ
ปัจจัยภายนอก: ปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจสามารถส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทได้ด้วย เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและกฎหมาย เหตุการณ์ทางการเมือง ภัยธรรมชาติ เหตุการณ์ใหญ่ระดับโลก ความผันผวนของค่าเงิน และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ