Window Dressing คือ การทำตัวเลขทางบัญชีของบริษัท ราคาหุ้น หรือ NAV ของกองทุนให้สูงขึ้น ด้วยการดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น โดยช่วงที่มักจะเกิดการ Window Dressing คือช่วงสิ้นไตรมาสและช่วงสิ้นปี เพื่อทำให้งบการเงินหรือ NAV ของกองทุนที่กำลังจะออก (ตอนสิ้นไตรมาส) ออกมาดูดี
สำหรับวิธี Window Dressing ของกองทุนคือ การลากราคาหุ้นขึ้นมาด้วยการซื้อหุ้นจำนวนมากที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจากปริมาณการซื้อ เมื่อราคาหุ้นที่กองทุนถือเอาไว้สูงขึ้น NAV หรือมูลค่าสินทรัพย์รวมของกองทุนก็จะสูงขึ้นตาม
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายวิธีในการทำ Window Dressing อย่างเช่น การขายหุ้นที่ไม่ทำกำไรที่กองทุนถืออยู่ออกไป แล้วซื้อหุ้นที่คาดว่าราคาปรับตัวสูงขึ้น (ในช่วงสิ้นไตรมาส) เข้ามาแทนก็จะทำให้กองทุนมี NAV ที่สูงขึ้นได้เช่นกัน
เมื่อมูลค่าสินทรัพย์รวมของกองทุนดูดีจากการกระทำที่อธิบายไว้ด้านบน ตัวเลขนั้นก็จะดูเหมือนกับว่ากองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดี ซึ่งตัวเลขที่ดูดีสำคัญเพราะผลการดำเนินงานของกองทุนเป็นเครื่องชี้วัดประสิทธิภาพของกองทุนหรือผู้ที่ทำการ Window Dressing ดังกล่าว
คำว่า Window Dressing คือ สำนวนที่มาจากการจัดหน้าร้าน (หน้าต่างของร้าน) ให้ดูดีดูน่าเข้า เพื่อใช้เป็นจุดสนใจให้ลูกค้าเข้ามาในร้านทั้งที่ในร้านอาจจะแย่หรือไม่ได้มีอะไรดีขนาดนั้นเหมือนกับหน้าร้านที่เห็น ซึ่งก็จะตรงกับสำนวนไทยคำว่า “ผักชีโรยหน้า” นั่นเอง
Window Dressing เกิดขึ้นตอนไหน?
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า Window Dressing อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าหากว่าจะมีการ Window Dressing เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นบนเงื่อนไขเหล่านี้
- ช่วงสิ้นไตรมาส หรือช่วงสิ้นปี เพื่อทำให้ตัวเลขที่กำลังจะออกออกมาดูดี
- NAV ของกองทุนแย่กว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับกองทุนอื่น ๆ
และช่วงที่จะไม่ค่อยมีการ Window Dressing เกิดขึ้นมักจะเป็นช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นอยู่แล้ว เพราะกำไรอยู่แล้วทำให้ไม่จำเป็นต้องตกแต่งตัวเลขให้ดูดีมากนัก
ผลจาก Window Dressing
ผลกระทบของ Window Dressing ที่เกิดขึ้นแน่นอนคือ ราคาของหุ้นที่ถูกใช้ในการ Window Dressing จะปรับตัวสูงขึ้นจากปริมาณการซื้อที่เกิดขึ้นจากกองทุน
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง เนื่องจากการซื้อหุ้นเหล่านั้นในช่วง Window Dressing มีโอกาสที่จะได้หุ้นมาในราคาที่สูงเกินปกติ
เมื่อราคาหุ้นหลังจากหมดช่วง Window Dressing กลับลงมาอยู่ในระดับปกติ ก็หมายความว่านักลงทุนจะไม่สามารถขายทำกำไรได้ และมีโอกาสจบที่การยอมขายขาดทุน