GreedisGoods » Economics » Yield Curve Control คืออะไร? กลไกของมาตรการ YCC

Yield Curve Control คืออะไร? กลไกของมาตรการ YCC

by Kris Piroj
Yield Curve Control คือ มาตรการ YCC ธนาคารกลาง Fed ควบคุมเส้นผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาล

Yield Curve Control คืออะไร?

Yield Curve Control คือ การควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะยาวผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว การทำ Yield Curve Control (YCC) ของธนาคารกลางจะเริ่มจากกำหนดเป้าหมายอัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรระยะยาวที่ต้องการควบคุม จากนั้นธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรดังกล่าวมากเท่าที่จำเป็นเพื่อกดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรดังกล่าวจนกว่าจะลดลงเหลือตามเป้าหมายที่ต้องการ

สรุปให้ง่ายกว่านั้น Yield Curve Control หรือ YCC เป็นการที่ธนาคารกลางจะตั้งเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว (หรือระยะกลาง) แล้วเข้าซื้อพันธบัตรอายุนั้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าอัตราผลตอบแทนจะลดลงถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อควบคุม Yield Curve ให้เป็นไปตามที่ต้องการ

โดยเป้าหมายของการทำ Yield Curve Control (YCC) คือการควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยาวเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวของภาคธุรกิจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะปรับลดลงตามผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่อายุเท่า ๆ กัน

สำหรับการใช้ Yield Curve Control ครั้งแรกเกิดขึ้นโดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan : BOJ) เมื่อ 21 กันยายน 2559 เป้าหมายคือการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีให้อยู่ที่ระดับ 0%

Yield Curve Control ทำอย่างไร

วิธีการทำ YCC หรือ Yield Curve Control ขั้นแรกจะเริ่มจากการที่ธนาคารกลาง (Central Bank) จะกำหนดเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของพันธบัตรอายุที่ต้องการ จากนั้นธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรอายุดังกล่าวเท่าที่จำเป็นต้องซื้อ และจะซื้อไปจนกว่าจะกดอัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้

ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางออสเตรเลีย (Reserve Bank of Australia : RBA) ประกาศทำ YCC เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 มูลค่า 5,200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 ปี เพื่อกดอัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรอายุ 3 ปีให้อยู่ที่ 0.25% ธนาคารกลางออสเตรเลียก็จะซื้อพันธบัตรอายุ 3 ปีไปเรื่อยๆ จนกว่า Yield ของพันธบัตรดังกล่าวจะลดลงเหลือ 0.25% ตามเป้า

กราฟ Yield Curve Control คือ อะไร ทำอย่างไร Fed YCC คือ
ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 ปีของออสเตรเลีย หลังจากทำ Yield Curve Control

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เป็นไปตามเป้าหมายและหยุดการซื้อในเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2020 โดยใช้เงินเพียง 1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียเท่านั้น

ทำไมต้องทำ Yield Curve Control

เป้าหมายของ Yield Curve Control เกี่ยวกับการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุที่ต้องการเพื่อกดอัตราผลตอบแทนลงตามที่ต้องการ เมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนไปจะส่งผลให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ (รวมถึงตราสารการเงินอื่น) ที่มีอายุเท่ากันเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

อย่างในกรณีของการทำ Yield Curve Control (YCC) ที่เกิดขึ้นในอดีตกับญี่ปุ่นและออสเตรเลียมีเป้าหมายคือการเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อกดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวให้ลดลงเพื่อทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวลดลงตาม เพื่อทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวลดลงเพื่อลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจลง

อีกเหตุผลหนึ่งคือการใช้นโยบายการเงินอย่างการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) ลงไม่ช่วยให้ต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวลดลงได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากการลดดอกเบี้ยมักจะส่งผลต่อดอกเบี้ยระยะสั้นและแทบจะไม่ส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว

นอกจากนี้ เหตุผลสำคัญในประเด็นสำคัญไม่แพ้กันที่ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เลือกทำ YCC มาจากการที่ขณะนั้นญี่ปุ่นใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบ (Negative Interest Rate Policy) อยู่แล้ว ทำให้ BOJ ไม่สามารถจะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปได้มากกว่านี้ เพราะจะทำให้รายได้ของธนาคารลดลงซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการทนรับหนี้เสีย (NPL) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

YCC กับ QE ต่างกันอย่างไร

เมื่อพูดถึงการที่ธนาคารกลาง (Central Bank) เข้าซื้อพันธบัตร หลายคนอาจนึกถึงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือที่รู้จักกันในชื่อมาตรการ QE อย่างไรก็ตาม Yield Curve Control กับ QE ไม่ใช่เรื่องเดียวกันและมีแนวทางในการปฏิบัติที่แตกต่างกันถึงแม้ว่าจะมีกลไกที่ใกล้เคียงกันมากก็ตาม

ในการทำ Yield Curve Control ธนาคารกลางจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลในช่วงอายุที่ระบุไปเรื่อย ๆ เพื่อกดผลตอบแทนพันธบัตรให้ลดลงตามเป้าหมาย ส่งผลให้จำนวนเงินที่ใช้ในการทำ YCC อาจมากหรือน้อยก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะกดดอกเบี้ยลงตามเป้าหมายได้ด้วยเงินมากเท่าไหร่

ในขณะที่มาตรการ QE จะเป็นการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามปริมาณที่ระบุไว้ไปเรื่อยๆ ภายในกรอบระยะเวลาที่ธนาคารกลางกำหนด

ส่งผลให้งบดุลของธนาคารกลางในการทำ QE จะเพิ่มขึ้นเท่าจำนวนที่ระบุว่าจะซื้อแน่นอน ในขณะที่การทำ YCC อาจใช้เงินน้อยกว่าเนื่องจากจะซื้อไปจนกว่า Yield พันธบัตรรัฐบาลจะลดลงตามเป้า

กล่าวคือ ถ้าประกาศทำ QE มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ งบดุลก็จะเพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนดังกล่าว แต่การทำ YCC ธนาคารกลางอาจใช้เงินน้อยกว่าเนื่องจากอาจใช้เงินซื้อไปเพียงแค่ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็อาจทำให้ Yield เป็นไปตามเป้าได้แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นกับธนาคารกลางญี่ปุ่นในช่วงปี 2559

ความเสี่ยงของ Yield Curve Control

ความเสี่ยงหลักของ Yield Curve Control ที่สำคัญเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นและมองว่าธนาคารจะไม่สามารถควบคุมให้ดอกเบี้ยระยาวเป็นไปตามที่ประกาศได้จริงนักลงทุนก็จะเทขายพันธบัตรออกมา ทำให้ธนาคารกลาวต้องใช้เงินมากขึ้นอีกในการซื้อพันธบัตรเหล่านั้นเพื่อทำให้พันธบัตรราคาสูงขึ้นเพื่อกด Yield ลงมาตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ อีกความเสี่ยงของ YCC คือการที่ในระยาวจะทำได้ยากขึ้นเพราะปริมาณพันธบัตรที่มีให้ซื้อมีอยู่อย่างจำกัด ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ญี่ปุ่นทำ Yield Curve Control ตั้งแต่นั้นมาธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ก็กลายเป็นผู้ถือครองตราสารหนี้รัฐบาลญี่ปุ่นมากที่สุดเป็นอันดับ 1 เมื่อกลายเป็นผู้ซื้อถือครองมากที่สุดส่งผลให้การเข้าซื้อทำได้ยากขึ้นภายหลัง เนื่องจากปริมาณพันธบัตรที่มีให้ซื้อมีอยู่อย่างจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก Federal Reserve Bank of St. Louis

บทความที่คุณอาจสนใจ

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ปรับตั้งค่าปฏิเสธ Cookies ยินยอม ดูรายละเอียด