โลกการเงินหมุนเวียนไม่หยุดนิ่ง สินทรัพย์ต่าง ๆ เปลี่ยนมือ และเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดด้วยปัจจัยนับไม่ถ้วน ท่ามกลางความผันผวนของราคาตลาดนี้ หากถามว่าทรัพย์สินนั้น “มีมูลค่าเท่าไหร่” ณ เวลานี้? Mark to Market (M2M) คือคำตอบของคำถาม
ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ การปรับมูลค่าตามราคาตลาด หรือ Mark to Market (M2M) ว่ามีกลไกเกิดขึ้นอย่างไร
Mark to Market คืออะไร?
Mark to Market คือ การปรับมูลค่าตามราคาตลาด เป็นวิธีการทางบัญชีที่ใช้ในการประเมินราคาของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินตามราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ซึ่งราคาหรือมูลค่าจะถูกคำนวณในทุก ๆ สิ้นวันทำการ
การปรับมูลค่าตามราคาตลาดหรือ Mark to Market (MTM) ใช้ในการวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์หรือหนี้สินซึ่งมักใช้ในอุตสาหกรรมการเงินเพื่อประเมินประสิทธิภาพของพอร์ตการลงทุน อย่างเช่น หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดในการคำนวณ Mark to Market คือ ราคาหุ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้น GreedisGoods ราคาปัจจุบันคือ 88 บาท ดังนั้นถ้านาย A มีหุ้น GreedisGoods 1,000 หุ้น ปัจจุบันมูลค่าหุ้น GreedisGoods ของนาย A คือ 88,000 บาท (มาจาก 1,000 x 88)
ถ้าหากว่าวันต่อมาราคาหุ้น GreedisGoods เพิ่มขึ้นเป็น 100 บาท มูลค่าหุ้นของนาย A ตามการปรับมูลค่าตามราคาตลาดหรือ Mark to Market จะมีมูลค่าเท่ากับ 100,000 บาท (มาจาก 1,000 x 100)
การคำนวณ Mark to Market
อย่างไรก็ตาม การคำนวณ Mark to Market จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของหลักทรัพย์ที่ประเมินด้วยวิธี Mark to Market (การปรับมูลค่าตามราคาตลาด)
ตัวอย่างเช่น มูลค่าตามราคาตลาดของตราสารหนี้จะใช้อัตราผลตอบแทนจากการซื้อขายครั้งล่าสุดของศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย ส่วนมูลค่า Mark to Market ของหน่วยลงทุนในกองทุนจะคำนวณโดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย (NAV) ที่คำนวณได้ ณ สิ้นวัน
และสำหรับตราสารอนุพันธ์ Mark to Market จะคำนวณโดยคำนึงถึงราคาตลาดปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง ตลอดจนปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อย่างเช่น อัตราดอกเบี้ย และความผันผวนของราคาตลาดของตราสารดังกล่าว
Mark to Market มีประโยชน์อย่างไรกับนักลงทุน?
ประโยชน์ของ Mark to Market (MTM) คือ การที่เป็นมูลค่าตามเวลาปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่าข้อมูลมีการอัพเดทตามเวลาจริง สิ่งนี้ช่วยให้นักลงทุนและสถาบันการเงินสามารถประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาด เพื่อจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับมูลค่าของสินทรัพย์และหนี้สินของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Mark to Market เป็นการคำนวณตามราคาตลาดปัจจุบัน ทำให้ราคา Mark to Market มักจะมีปัญหาเมื่อราคาของหลักทรัพย์ดังกล่าวมีการเข้าแทรกแซงราคาจากนักลงทุนบางกลุ่มได้ด้วยเช่นกัน
อย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเองก็ได้นำวิธีคำนวณมูลค่าหลักทรัพย์แบบ Mark to Market มาใช้ในระบบ Credit Balance เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทหลักทรัพย์และลูกค้าเกี่ยวกับการใช้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์และเกี่ยวกับ Short Sell ป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงมากเกินกว่าที่จะสามารถแบกรับได้