กลยุทธ์ระดับหน้าที่ คือ กลยุทธ์ในระดับปฏิบัติการ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในแต่ละหน่วยงานหรือแต่ละแผนกขององค์กรที่มีหน้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละส่วนงาน ซึ่งกลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy) ถือเป็นกลยุทธ์ในระดับที่แคบที่สุดจาก 3 ระดับกลยุทธ์
โดยกลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy) ในแต่ละหน้าที่จะแยกกันดำเนินงานในแต่ละหน้าที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งแต่ละส่วนงานก็จะดำเนินงานอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบในแต่ละหน้าที่ (แต่ละ Functional) ที่จะมีสิ่งที่ต้องทำแตกต่างกันออกไป
ตัวอย่างเช่น แผนกการตลาดมีแผนแนะนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด ดังนั้น แผนกการตลาดก็จะหาทางแนะนำสินค้าให้ผู้บริโภครู้จักด้วยกลยุทธ์บางอย่าง อย่างเช่น การใช้การจัดโปรโมชั่นในลักษณะของ Sale Promotion ลดแลกแจกแถม
และกลยุทธ์ที่แผนกการตลาดในตัวอย่างได้เลือกใช้ คือ สิ่งที่เรียกว่า “กลยุทธ์ระดับหน้าที่ หรือ Functional Strategy” ที่กำลังพูดถึง ซึ่งดำเนินกลยุทธ์โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่ด้านการตลาดในองค์กร (แผนกการตลาด)
กล่าวคือ กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy) คือกลยุทธ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละส่วนงานย่อยภายในองค์กรหรือในแต่ละแผนก ไม่ว่าจะเป็น การตลาด (Marketing), การเงิน (Finance), บัญชี (Accounting), ฝ่ายผลิต (Operation), หรือการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) ก็ตาม
กลยุทธ์ระดับหน้าที่มีอะไรบ้าง
กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy) หากยึดตามแนวคิด Value Chain ของ Micheal E. Porter จะมีอยู่ 9 หน้าที่ ซึ่งกลยุทธ์ที่เกิดขึ้นในส่วนงานเหล่านี้จะเรียกว่า กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy)
Logistics (การขนส่ง) หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง การเก็บรักษา และกระจายสินค้า ทั้งวัตถุดิบ สินค้าระหว่างทำ และสินค้าที่ผลิตเสร็จ ทั้งขาเข้าและขาออก อีกทั้งยังรวมไปถึงเรื่องของการบริหารโซ่อุปทาน (Supply Chain)
Procurement (แผนกจัดซื้อ) ทำหน้าที่จัดซื้อสิ่งที่บริษัทต้องซื้อ อย่างเช่น วัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้า ไปจนถึงวัสดุสำนักงานที่ต้องใช้เป็นประจำ โดยแผนกจัดซื้อ (Procurement) อาจทำหน้าที่รวมไปถึงการจัดหาในกรณีที่ในบางบริษัทรวมการจัดซื้อและจัดหาเอาไว้เป็นแผนกเดียวกัน
Operation (การดำเนินงาน) หน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินงานหลักของธุรกิจ อย่างเช่น การผลิตสินค้า การให้บริการ และการให้คำปรึกษา โดยงานในส่วน Operations จะแตกต่างกันตามประเภทและลักษณะของการดำเนินธุรกิจในแต่ละบริษัท
Marketing and Sales (การตลาดและการขาย) ทำหน้าหน้าที่ศึกษาตลาด วางกลยุทธ์ และวางแผนอื่นเกี่ยวกับตลาด โดยมีวัตถุในการกระตุ้นให้สามารถขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ กล่าวคือ เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือทำอย่างไรให้สินค้าขายออก (ทั้งนี้ ในบางบริษัทอาจจะแยก Sales ออกจากแผนก Marketing)
Service (การบริการลูกค้า) ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการบริการลูกค้า อย่างเช่น การบริการหลังการขาย การอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้า ให้คำปรึกษาลูกค้า และการรับเคลมสินค้า ในบางธุรกิจอาจไม่มีส่วนงานนี้อยู่ในบริษัทเนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้
Research and Development : R&D (วิจัยและพัฒนา) ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ของธุรกิจ อย่างเช่น การพัฒนาวิธีผลิตให้ต้นทุนต่ำลง คิดและทดลองสินค้าแบบใหม่ ทั้งนี้ในบางธุรกิจอาจไม่มี Functional ในส่วนของการวิจัยและพัฒนา หรืออาจรวมไว้ที่ส่วนงาน Operation
Human Resource Management (การจัดการทรัพยากรมนุษย์) เป็นหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเกี่ยวกับคนในองค์กร ตั้งแต่การหาพนักงาน ผลตอบแทน การประเมินผล การอบรม ไปจนถึงการออกของพนักงาน
Accounting (แผนกบัญชี) จัดการเกี่ยวกับเรื่องของการทำบัญชี งบการเงิน ใบเสร็จ ภาษี เบิกเงิน จ่ายเงิน จัดการเกี่ยวกับเรื่องทางการเงินอื่น ๆ
Finance (แผนกการเงิน) เป็นส่วนงานที่จะจัดการเกี่ยวกับการบริหารเงินทุน การตัดสินใจลงทุน และจัดหาเงินทุนของบริษัท (แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเงินโดยตรงเหมือนกับส่วนงานบัญชี)
เมื่อพิจารณาจากทั้ง 9 หน้าที่จะเห็นว่าแต่ละหน้าที่จะมีงานที่ต้องทำที่ต่างกันอย่างแน่นอน ดังนั้น กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy) ก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละส่วนมีเป้าหมาย (Objectives) อะไร หรือพบเจอกับปัญหาอะไร และจะใช้วิธีการหรือกลยุทธ์อะไรมาจัดการกับปัญหาเหล่านั้นหรือทำให้เป้าหมายเหล่านั้นบรรลุผล และจะเห็นว่าวิธีการที่จะนำแต่ละ Functional Strategy มาใช้จัดการกับปัญหา คือ สิ่งที่หลายคนที่เรียนปริญญาตรีในคณะบริหารและคณะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารได้เรียนมานั่นเอง