Kanban คือ ระบบควบคุมการผลิตด้วยการใช้บัตร Kanban (บัตรคัมบัง) เพื่อสื่อสารและควบคุมให้เกิดการผลิตสินค้าก็ต่อเมื่อมีคำสั่งซื้อเกิดขึ้นเท่านั้น ด้วยการใช้ระบบ Kanban สื่อสารไปหากระบวนการผลิตขั้นตอนก่อนหน้าเพื่อบอกว่าต้องการชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบจำนวนเท่าไหร่
สำหรับสิ่งที่ทำให้ระบบ Kanban หรือ คัมบัง เป็นแนวคิดที่กลายเป็นที่รู้จักมาจากการที่ระบบ Kanban คือส่วนหนึ่งของระบบการผลิตแบบ Lean หรือ Just in Time ของบริษัท Toyota ที่จะผลิตสินค้าตามปริมาณความต้องการโดยไม่เก็บสินค้าคงคลัง (Zero Inventory) ที่นำไปสู่ต้นทุนที่ไม่จำเป็น
โดยวิธีการทำงานของ ระบบ Kanban (คัมบัง) คือการใช้บัตร Kanban ส่งสัญญาณพร้อมรายละเอียดของสินค้า ชิ้นส่วน หรือวัตถุดิบที่ต้องการ เพื่อส่งสัญญาณไปหาขั้นตอนการผลิตก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น แผนกประกอบสินค้าใช้บัตรคัมบังส่งสัญญาณไปขอชิ้นส่วนที่ต้องใช้ประกอบจากแผนกผลิตชิ้นส่วน
กล่าวคือ พื้นฐานของ Kanban คือบัตรที่ใช้ในการส่งสัญญาณ โดยจะเป็นการส่งสัญญาณมาจากขั้นตอนถัดไปของการผลิต ย้อนกลับไปหาขั้นตอนก่อนหน้าที่ในทางโลจิสติกส์เรียกว่าจากปลายน้ำ (Downstream) ไปหาต้นน้ำ (Upstream) เพื่อส่งสัญญาณให้ขั้นตอนก่อนหน้าผลิตตามที่ต้องการ ซึ่งบัตร Kanban ดังกล่าวได้ถูกพัฒนามาเป็น Kanban Board หรือ กระดานคัมบัง ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในปัจจุบัน
ที่มาของ Kanban (คัมบัง)
ระบบ คัมบัง หรือ Kanban คือ แนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงราว ๆ ปี ค.ศ. 1940s โดยวิศวกรของบริษัท Toyota ชื่อ Taiichi Ohno ซึ่งแนวคิด Kanban เป็นระบบที่ได้ไอเดียมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต จากการที่เมื่อสินค้าถูกขายออกไปไม่นานพนักงานก็จะนำสินค้ามาเติมให้เต็มชั้นวางสินค้าอีกครั้ง
พนักงานจะรู้ว่าสินค้าหมดได้จากการที่เมื่อขายสินค้าได้พนักงานที่คิดเงินจะดึงสลิปมาเก็บไว้ (ในปัจจุบันรู้ได้จากการสแกนบาร์โค๊ด) เมื่อถึงเวลาเติมสินค้าพนักงานเติมสินค้าก็จะดูจากสลิป (ที่ขายออก) ว่ามีอะไรบ้างและมีจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งสินค้าที่ขายออกไปคือสิ่งที่ต้องนำของไปเติมนั่นเอง
ในการทำความเข้าใจกับระบบ Kanban ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับระบบการผลิตที่ใช้กันทั่วไปที่เรียกว่า Mass Production หรือที่แนวคิด Lean เรียกว่า Push System คือ การผลิตที่แต่ละฝ่ายแต่ละแผนกจะผลิตวัตถุดิบและสินค้าจำนวนมาก เพื่อเก็บไว้รอการผลิตและรอขายให้ลูกค้า โดยไม่สนความต้องการสินค้า (Demand) ที่เกิดขึ้นจริงว่ามีอยู่เท่าไหร่
สิ่งที่เกิดขึ้นในระบบการผลิตแบบ Push System คือ การที่ทุกแผนกต่างฝ่ายต่างผลิตชิ้นส่วนออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทมีต้นทุนในการเก็บรักษาชิ้นส่วนเหล่านี้เอาไว้ อีกทั้งยังมีโอกาสกลายเป็นสินค้าล้าสมัย (Obsoleted Invetory) ที่ไม่สามารถขายได้ ซึ่งถือว่าความสูญเปล่า (Waste) ที่ไม่ทำให้เกิดคุณค่าใด ๆ ตามแนวคิด Lean
![Kanban คือ คัมบัง ระบบ Push System คือ Kanban System คือ Pull System](https://greedisgoods.com/wp-content/uploads/2020/01/Kanban-System-Push-System.webp)
ปัญหาความสูญเปล่าที่เป็นต้นทุนของการผลิตแบบ Push System ที่ได้อธิบาย ทำให้ Toyota สร้างระบบการผลิตแบบ Pull System ที่มีชื่อว่า Just In Time ขึ้นมา โดยระบบ Pull System (ระบบดึง) คือ ระบบการผลิตที่จะใช้คำสั่งซื้อจากลูกค้าเป็นตัวกำหนดการผลิต กล่าวคือ จะเกิดการผลิตขึ้นก็ต่อเมื่อมีความต้องการซื้อจากลูกค้าเท่านั้น เปรียบเทียบได้กับ ร้านอาหารที่พ่อครัวจะทำอาหารก็ต่อเมื่อมีลูกค้าสั่งอาหาร
จากที่อธิบายไว้ตอนต้นว่าระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมแบบเดิม ๆ จะมีลักษณะแบบต่างคนต่างผลิต ดังนั้น เมื่อต้องการผลิตแบบพอดีความต้องการเราจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะการผลิตให้พอดีจำเป็นที่จะต้องรู้ชัดเจนว่าต้องการสินค้ากี่ชิ้น และต้องใช้ชิ้นส่วน A และ B อย่างละกี่ชิ้นเพื่อประกอบสินค้าหนึ่งขึ้นมา ซึ่ง Kanban คือเครื่องมือสำหรับแก้ปัญหาจากรอยต่อนี้
ระบบ Kanban ทำงานอย่างไร?
ระบบ Kanban จึงเป็นทางออกของปัญหาดังกล่าว โดย Kanban คือบัตรที่เป็นเครื่องมือ (จริง ๆ มีวิธีมากกว่าการใช้บัตร) ที่มีหน้าที่บอกว่าในขั้นตอนถัดไปของการผลิตต้องการชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบกี่ชิ้น
ตัวอย่างเช่น ลูกค้าต้องการสินค้า 236 ชิ้น ก็จะส่งบัตร Kanban ให้แผนกประกอบสินค้า ทุกจุดเพื่อประกอบสินค้าขึ้นมาจุดละ 1 ชิ้น ภายใน 20 นาที
เมื่อแผนกประกอบได้รับบัตรก็จะประกอบสินค้าให้ 1 ชิ้นตามทีสั่ง แต่แน่นอนว่าการประกอบก็ต้องใช้ชิ้นส่วน ดังนั้นแผนกประกอบก็จะส่ง Kanban อีกใบให้แผนกผลิตชิ้นส่วน เพื่อบอกให้แผนกชิ้นส่วนผลิตชิ้นส่วนมาให้ตามที่ต้องใช้ สมมติว่าต้องการชิ้นส่วน 16 ชิ้น
เมื่อแผนกผลิตชิ้นส่วนได้รับบัตร Kanban ก็จะต้องผลิตชิ้นส่วนให้ 16 ชิ้นตามที่สั่งมา แต่แน่นอนว่าการผลิตชิ้นส่วนก็ต้องการวัตถุดิบ ดังนั้นแผนกผลิตชิ้นส่วนก็จะส่งบัตร Kanban (คัมบัง) ไปหาแผนกรับวัตถุดิบ เพื่อขนวัตถุดิบที่ Supplier นำมาส่งมาให้ที่จุดผลิต สมมติว่าต้องการวัตถุดิบเป็นเหล็ก 200 กิโลกรัม
แผนภาพลำดับขั้นตอนการผลิตด้วย ระบบ Kanban (สี่เหลี่ยมแต่ละสีแทน Kanban แต่ละขั้นตอนตามตัวอย่างด้านบน)
![Kanban คือ ระบบ คัมบัง คือ ตัวอย่าง Kanban Board Lean](https://greedisgoods.com/wp-content/uploads/2020/01/Kanban-Flow-Example.webp)
จากแผนภาพเดิม มาถึงตรงนี้เราได้สิ่งที่ต้องการครบแล้ว หลังจากนี้คือขั้นตอนของการผลิต
เมื่อแผนกชิ้นส่วนได้วัตถุดิบ (Materials) ตามที่สั่งแผนกผลิตชิ้นส่วนก็จะเริ่มผลิตชิ้นส่วน (Parts) และเมื่อผลิตเสร็จก็จะทำการส่งชิ้นส่วนไปให้แผนกประกอบ พร้อมกับติดบัตร Kanban ที่ได้มาคืนไปหาแผนกประกอบพร้อมกับถาดชิ้นส่วน (เพราะแผนกประกอบเป็นผู้ส่งมาในตอนแรก)
- และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ ถาดวัตถุดิบที่ได้รับจะว่างเหลือแต่บัตร Kanban ที่ได้คืนมาจากวัตถุดิบที่สั่งไปตอนแรก (เพราะชิ้นส่วนใช้ผลิตไปหมดแล้ว)
ต่อจากขั้นตอนด้านบน เมื่อแผนกประกอบสินค้าได้ชิ้นส่วนครบตามที่สั่งก็จะเริ่มประกอบสินค้า และเมื่อประกอบเสร็จเรียบร้อยก็จะส่งสินค้าไปหาแผนกจัดส่งพร้อมกับบัตร Kanban ที่ได้รับมาจากคำสั่งซื้อ เพื่อตรวจสอบและเตรียมส่งให้ลูกค้าต่อไป
- หลังจากประกอบเสร็จ ถาดชิ้นส่วนจะว่างเหลือแต่บัตร Kanban ที่ได้คืนมาจากแผนกผลิตชิ้นส่วน (ที่เราไปขอให้เขาผลิตชิ้นส่วนในตอนแรก)
เมื่อทำการตรวจสอบสินค้าเรียบร้อยแล้วก็จะทำการเคลื่อนย้ายสินค้าขึ้นรถเพื่อส่งสินค้าให้ลูกค้า ทำให้เหลือแค่บัตร Kanban ที่เป็นสั่งให้แผนกประกอบสินค้าผลิตสินค้าอยู่ในถาดใส่สินค้า
ทั้งหมดนี้คือ 1 กระบวนการผลิตสินค้า 1 ชิ้น คำถามต่อมา คือ จะทำอย่างไรสำหรับชิ้นที่ 2
คำตอบคือ ในการผลิตด้วยระบบ Kanban จะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบบัตร Kanban ในทุก ๆ ช่วงระยะเวลาที่กำหนด ตัวอย่างเช่น ทุก 15 นาที (ขึ้นอยู่กับว่าการผลิตเกิดขึ้นในเวลากี่นาที) เมื่อพนักงานที่ทำหน้าตรวจสอบพบว่าในถาดชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบเหลือแค่บัตร Kanban (เพราะใช้ผลิตไปแล้ว ตามที่อธิบาย) พนักงานก็จะนำถาดพร้อม Kanban ไปส่งให้หน่วยงานก่อนหน้า (ในปัจจุบันอาจใช้การยิง Bar code)
จากตัวอย่างเดิม จะเห็นว่าถ้าแผนกประกอบนำชิ้นส่วนที่ได้รับไปประกอบเป็นสินค้า จะทำให้ถาดชิ้นส่วนว่างเหลือแต่ Kanban เมื่อพนักงานที่ทำหน้าที่จัดการกับ Kanban มาพบว่าถาดชิ้นส่วนว่าง ก็จะนำ Kanban ไปส่งให้แผนกผลิตชิ้นส่วนตามที่ต้องการ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในทุกส่วนการผลิตวนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะผลิตสินค้าได้ครบตามความต้องการของลูกค้า
สรุป Kanban
จากตัวอย่างด้านบนจะเห็นว่า Kanban คือบัตรที่ใช้ส่งสัญญาณให้กับแผนกก่อนหน้าเริ่มต้นการผลิตนั่นเอง โดยจุดเริ่มต้นของ Kanban เริ่มจากคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นจากลูกค้าถูกส่งไปหาแผนกประกอบสินค้า จากนั้นแผนกประกอบก็จะใช้ Kanban บอกความต้องการชิ้นส่วนย้อนกลับไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
ในทางโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระบบ Kanban (คัมบัง) คือการผลิตที่เกิดขึ้นจากปลายน้ำ (Downstream) ย้อนกลับไปหาต้นน้ำ (Upstream)
โดยในบัตร Kanban ในเบื้องต้นจะมีรายละเอียดข้อมูลที่สำคัญ ดังนี้
- ชื่อและหมายเลขของวัตถุดิบหรือสิ่งที่ต้องการ
- หมายเลขของบัตร Kanban
- จำนวนชิ้นที่ต้องการ
- ชื่อผู้ผลิต หรือ จุดผลิตที่ต้องการให้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบมาส่ง
ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าไม่มีบัตร Kanban มาที่แผนก แผนกนั้นก็จะไม่ผลิตสินค้า เพราะการผลิตสินค้าโดยไม่มีคำสั่งจาก Kanban เป็นการผลิตที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามความต้องการและทำให้บริษัทต้องเก็บสินค้าเหล่านั้นเอาไว้ในคลังสินค้า ซึ่งทำให้เกิดต้นทุนที่การผลิตแบบ Lean Manufacturing หรือ Just In Time ไม่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม Kanban ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบัตรเสมอไป โดยสิ่งที่ใช้เป็น Kanban อาจจะใช้เป็นสิ่งหรือวิธีการอื่น ๆ ในการส่งสัญญาณว่าต้องการวัตถุดิบได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
ภาชนะ (Container) ที่ถ้าหากว่าภาชนะใส่ชิ้นส่วนว่างจะแสดงว่าต้องการชิ้นส่วนมาเพิ่ม แต่ต้องออกแบบให้ภาชนะมีความแตกต่างกันชัดเจนว่าใช้ใส่ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบอะไร
พื้นที่ว่าง การกำหนดพื้นที่ว่างเอาไว้ (อาจมีสัญลักษณ์ที่พื้น) เมื่อพื้นที่ในการรับวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนว่าง หมายความว่ามีความต้องการวัตถุดิบเพิ่ม
สามารถอ่านเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของ Toyota (ภาษาอังกฤษ) ได้ที่ Toyota Production System guide
ประโยชน์ของ Kanban
สำหรับประโยชน์หลักของ Kanban คือการลดความสูญเปล่าจากกระบวนการผลิตเกินจำเป็นและการเก็บสินค้าคงคลังที่นำไปสู่ต้นทุนจากการเก็บรักษา รวมถึงความเสี่ยงในการกลายเป็นสินค้าล้าสมัย แต่จริง ๆ แล้วระบบ Kanban ยังรวมไปถึง:
ปรับปรุงการไหลเวียนของวัตถุดิบ การใช้ระบบ Kanban ทำให้เกิดการส่งวัตถุดิบไปหาหน่วยงานที่ทำการผลิตโดยตรง ด้วยจำนวนที่ต้องการในเวลาที่ต้องการ ทำให้ไลน์การไม่เต็มไปด้วยวัตถุดิบรอการผลิต
ลดความผิดพลาดในการผลิต เพราะวัตถุดิบที่ได้มาจะได้มาพอดีกับที่ต้องใช้ ทำให้ไม่เกิดความผิดพลาดในการประกอบเกินหรือขาด
ลดปัญหาการจัดส่งวัตถุดิบล่าช้าของ Supplier เพราะการผลิตที่ใช้ระบบ Kanban จะเป็นกระบวนการผลิตมีความสม่ำเสมอ ทำให้มีเวลาที่แน่นอนในการส่งวัตถุดิบ
Kanban Board คืออะไร?
Kanban Board คือ เครื่องมือควบคุมขั้นตอนการดำเนินงาน (Workflow) เพื่อสื่อสารว่างานอยู่ในขั้นตอนไหน ซึ่งส่วนมากมักจะใช้กับงานที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้ในการวางแผนพัฒนา Software โดยการทำ Kanban Board อาจจะใช้กระดานไวท์บอร์ดทำเป็นตารางที่มีการแบ่งขั้นตอนการดำเนินงาน ออกเป็นอย่างน้อย 3 ส่วน (หรือมากกว่า) คือ สิ่งที่ต้องทำ (To Do), งานกำลังทำ (Work In Progress), และงานที่เสร็จแล้ว (Done)
![Kanban Board ตัวอย่าง Kanban Workflow](https://greedisgoods.com/wp-content/uploads/2020/01/Kanban-Board-Workflow.webp)
การใช้ Kanban Board จะใช้กระดาษโพสอิทเขียนงานแต่ละงานแปะเอาไว้ในขั้นตอนปัจจุบันของงานนั้น เพื่อแสดงการไหลของงาน (Workflow) และสื่อสารให้ขั้นตอนการผลิตอื่น ๆ รับรู้สถานะปัจจุบันของงาน ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์มากมายในการเป็น Kanban Board แทนที่จะต้องใช้กระดาษโพสอิทและกระดานคัมบังจริง ๆ
โดย Kanban Board อาจแบ่ง Workflow ออกเป็นขั้นตอนที่มากกว่า 3 ขั้นตอน อย่างเช่น Kanban Board ของการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เพิ่มขึ้นตอนของการทดสอบ (Testing) เข้ามาในคอลัมน์ระหว่างงานระหว่างทำ (In Progress) และงานที่เสร็จแล้ว (Done) ซึ่งในการทำ Kanban Board จะอยู่บนพื้นฐานที่เป็นหลักการของระบบ Kanban หรือ Kanban Core Principles ดังนี้
Visualize the workflow คือ การแสดงระบบการทำงานออกมาให้เห็นภาพชัดเจน จากภาพตัวอย่างจะเห็นว่า Kanban Board จะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนการดำเนินงาน แต่ในความเป็นจริงอาจมีขั้นตอนที่ละเอียดกว่านี้ตาม Workflow ของงานคุณก็ได้ และในขั้น In Progress (ขั้นตอนการทำงาน) อาจแบ่งงานออกเป็นงานย่อยๆ หลายงานก็ได้
Limit Work In Progress (Limit WIP) คือ การกำหนดขีดจำกัดของแต่ละขั้นตอนการดำเนินงานว่าทำได้สูงสุดกี่ขั้นตอน เพื่อป้องกันไม่ให้ในแต่ละขั้นตอนมีงานมากเกินไปซึ่งจะนำไปสู่ความสูญเปล่าจากความผิดพลาดและการทำงานเกินกำลัง ตัวอย่างเช่น งาน Testing ในภาพ Kanban Board ด้านบนอาจจะกำหนดเอาไว้ว่าเทสได้สูงสุดครั้งละ 2 ชิ้นงาน
Manage Flow คือ การจัดการการเคลื่อนย้ายชิ้นงานระหว่างกระบวนการผลิตให้มีความไหลลื่น เพื่อทำให้การผลิตเป็นไปอย่างรวดเร็วและเข้าใจง่ายแทนที่จะทำให้พนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น การจัดลำดับก่อนหลังของงานอย่างสมเหตุสมผลและสอดคล้องกัน
Make Process Policies Explicit คือ การสร้างนโยบายและขั้นตอนการดำเนินงานให้เป็นมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้พนักงานปฏิบัติตาม
Continuous Improvement คือ การวัดผลว่างานเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ เพื่อการปรับปรุงพัฒนาขั้นตอนการทำงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงเมื่อพบปัญหาเกิดขึ้นในขั้นตอนการดำเนินงานซึ่งส่งผลให้การดำเนินเกิดความติดขัด โดยสิ่งที่ต้องปรับปรุงก็จะรับรู้ได้จากการวัดผล