เคยสงสัยไหมว่า ธนาคารที่เราฝากเงินไว้ทุกวันนี้เอาเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นไปทำอะไรบ้าง? แน่นอนว่าไม่ใช่เก็บไว้ใต้ตู้เซฟหรือนำไปลงทุนเพียงอย่างเดียว! เพราะแท้จริงแล้วธนาคารมีกฎที่สำคัญข้อหนึ่งนั่นคือ “การคงสภาพคล่อง” ซึ่งหมายถึงการต้องเก็บเงินสำรองบางส่วนเอาไว้เสมอ ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกถึง “Required Reserve Ratio” หรือ “อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง” ว่ามันคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร และส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจและการเงินส่วนบุคคลของคุณบ้าง
Required Reserve Ratio คืออะไร?
Required Reserve Ratio คือ อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง เป็นอัตราส่วนสำรองขั้นต่ำตามกฎหมายที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศได้กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เก็บสำรองเงินฝากขั้นต่ำเอาไว้กับตัว ไม่ว่าจะเป็นการเก็บสำรองเอาไว้ในรูปเงินสดหรือฝากไว้กับธนาคารกลาง
ตัวอย่าง ถ้าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ กำหนด Required Reserve Ratio หรือ RRR เอาไว้ที่ 3% หมายความว่าทุกเงินฝาก 100 บาทที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับมาจากผู้ที่เข้ามาฝากเงิน ธนาคารพาณิชย์เหล่านี้จะต้องสำรองเงินฝากเอาไว้ 3 บาท
และส่วนที่เหลือจาก 3 บาทที่ถูกหักไปเป็นเงินสำรองตามมาตรการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง Required Reserve Ratio จะเรียกว่า เงินสำรองส่วนเกิน หรือ Excess Reserve ที่ธนาคารพาณิชย์สามารถนำไปใช้ในการลงทุนหากำไรให้กับธนาคาร อย่างเช่น การปล่อยกู้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการนำไปลงทุนในตลาดทุน เพื่อนำมาใช้เป็นกำไรและเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ฝาก
ปัจจุบัน Required Reserve Ratio ของประเทศทั่วโลกบางส่วนมีอัตราดังนี้
- สหรัฐอเมริกา 0%
- ญี่ปุ่น 0.8%
- ประเทศกลุ่มยูโรโซน 1%
- สวิสเซอร์แลนด์ 2.5%
- สิงคโปร์ 16%
- ฮ่องกง 0%
- ไทย 1% (กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย)
ทั้งนี้ Required Reserve Ratio อาจมีชื่อที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ทำให้คุณอาจจะสามารถพบได้ในชื่อ Reserve Requirements, Cash Reserve Ratio, Reserve Ratio, และ Minimum Reserve Requirements เป็นต้น
Required Reserve Ratio มีไว้ทำไม
มาถึงตรงนี้คุณอาจเกิดคำถามว่าทำไมธนาคารกลาง (Central Bank) ของแต่ละประเทศถึงบังคับให้ธนาคารพาณิชย์หักเงินที่ได้มาเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่ออะไร คำตอบคือ กฎ Required Reserve Ratio (RRR) มีไว้เพื่อลดความรุนแรงจากความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์เกิดขาดสภาพคล่องขึ้นมา หรืออยู่ ๆ ผู้ฝากเงินเกิดต้องการถอนเงินเป็นจำนวนมาก
เพราะถ้าหากว่าผู้ฝากจำนวนมากอยู่ ๆ แห่มาถอนเงินกับธนาคารพร้อมกันเป็นจำนวนมากในขณะที่ธนาคารไม่มีเงินสำรองเอาไว้ นั่นหมายความว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่สามารถคืนเงินให้กับผู้ฝากได้ทั้งหมด ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความเชื่อมั่นของธนาคารดังกล่าว
ด้านผู้ฝากที่ไม่ได้รับเงินฝากคืน ก็จะเกิดความไม่มั่นในธนาคารพาณิชย์ธนาคารดังกล่าวและนำไปสู่การถอนเงินด้วยจำนวนที่มากขึ้น (แน่นอนว่าจะกลายเป็นข่าวดัง) และผลที่ตามมาคือ เมื่อประชาชนเห็นกรณีตัวอย่างแล้วว่ามีผู้ที่ถอนเงินไม่ได้ที่อาจเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง จึงนำไปสู่เหตุการณ์การแห่ถอนเงินที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเพราะเกรงว่าตนจะสูญเสียเงินฝากทั้งหมดของพวกเขาไป
เหตุการณ์ทั้งหมดจะทำให้สถานการณ์ด้านสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ที่แย่อยู่แล้ว แย่ลงกว่าเดิม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาล้มละลายในท้ายที่สุดซึ่งทำให้ไม่มีใครได้เงินคืนไปมากกว่าจำนวนที่กฎหมายแต่ละประเทศคุ้มครองเงินฝาก เราเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่า Bank Run
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ล้มละลายจากปัญหาสภาพคล่องจากการแห่ถอนเงิน ธนาคารก็ยังจำเป็นที่จะต้องกู้เงินจากธนาคารกลางหรือธนาคารพาณิชย์อื่นมาคืน ซึ่งนำไปสู่ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย อีกทั้งธนาคารยังอาจจะจำเป็นต้องขายหลักทรัพย์ที่ได้เข้าไปลงทุนไว้เพื่อนำเงินมาคืนก่อนถึงจุดที่สามารถทำกำไรได้อย่างเต็มที่ (หรือแม้กระทั่งการยอมขายขาดทุน) ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่ธนาคารจะต้องสูญเสียไปมากกว่าผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเป็นตัวเลขที่เห็น
ทั้งหมดคือคำตอบของคำถามที่ว่ามาตรการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องด้วย Required Reserve Ratio ของธนาคารกลางมีไว้ทำไม
การเพิ่ม/ลด RRR เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกเหนือจากการใช้มาตรการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องด้วย Required Reserve Ratio เพื่อการลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกลางยังสามารถใช้การปรับเพิ่มและลด Required Reserve Ratio เพื่อกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ แบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่
การเพิ่ม Required Reserve Ratio จะทำให้สัดส่วนเงินที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องถือสำรองเอาไว้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เงินสดสำรองส่วนเกิน (Excess Reserve) ที่ธนาคารสามารถนำไปใช้ปล่อยกู้และลงทุนได้น้อยลง ทำให้วิธีนี้ธนาคารกลางจะใช้เมื่อต้องการลดความร้อนแรงการลงทุนและลดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพื่อชะลอเงินเฟ้อ
การลด Required Reserve Ratio จะส่งผลให้สัดส่วนเงินที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องถือสำรองเอาไว้เมื่อได้รับเงินฝากลดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินสดสำรองส่วนเกิน (Excess Reserve) สำหรับการลงทุนและปล่อยกู้มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจอีกทั้งความง่ายของการเข้าถึงเงินทุน เป็นวิธีที่ธนาคารกลางจะใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น เปรียบเทียบได้กับการยอมเสี่ยงมากขึ้นเพื่อคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากขึ้นเวลาคุณลงทุน